สูตรสำเร็จในชีวิตตามหลักพุทธศาสนา | การงานไม่อากูล

สูตรสำเร็จในชีวิต (12)

การงานไม่อากูล (1)

สูตรสำเร็จในชีวิตต่อไปคือ การงานไม่อากูล ครับ คำนี้เป็นคำพระแท้ๆ ชาวบ้านฟังไม่รู้เรื่องแน่ ถ้าไม่อธิบาย

การงานไม่อากูล ก็คือทำงานมิให้คั่งค้างนั่นแหละครับ

คนที่จะเจริญก้าวหน้าประสบความสำเร็จในชีวิต นอกจากจะเลือกคบคนดี มีการศึกษา เล่าเรียนดี มีระเบียบวินัย ยกย่องคนควรยกย่อง ตลอดถึงปฏิบัติต่อลูกเมียดีแล้ว ยังขึ้นอยู่กับเงื่อนไขปัจจัยอีกข้อหนึ่งคือ การทำงาน

ผู้รู้ท่านหนึ่งเปรียบการทำงานดุจคนขับรถ รถมันจะใหม่เอี่ยม เครื่องเคราดี ยี่ห้อโก้เก๋ทันสมัยอย่างไร ถ้าคนไม่ขับเคลื่อนที่มันก็เศษเหล็กธรรมดา ไม่ต่างจากขอนไม้ท่อนหนึ่งนั่นเอง

นั่งขี่บนขอนไม้ กับนั่งในรถหรูคันนั้น ได้ผลเท่ากัน คือไปไม่ถึงที่หมาย

การจะไปถึงที่หมายได้ต้องสตาร์ตเครื่องแล้วก็ขับไป ฉันใดก็ฉันนั้น คนเราเกิดมาแล้วนั่งนอนอยู่เฉยๆ งานการไม่ทำนอกจากจะไม่เจริญแล้ว จะพาลเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตเอา

เพราะฉะนั้น อยากเจริญต้องทำงาน และทำงานให้มีประสิทธิภาพ มิใช่สักแต่ว่าทำ

วิธีทำงานมีอยู่ 2 แบบ คือทำแบบมงคล กับทำแบบอัปมงคล ทำแบบมงคล คือทำแล้วเจริญ มีหลักอยู่สั้นๆ 3 หลักคือ ทำดี – ทำเต็มที่ – ทำให้เสร็จ

ทำแบบอัปมงคล คือทำแล้วล่มจมฉิบหาย มีหลักสั้นๆ เหมือนกันคือ ทำค้าง – ทำย่อหย่อน – ทำเสีย

งานอากูลก็คืองานค้างนั่นแหละครับ เป็นนิสัยคนทำงานประเภทหนึ่ง (รวมผมด้วย บางครั้ง) มักไม่ชอบทำอะไรให้เสร็จทั้งที่ควรให้เสร็จ ทำได้หน่อยหนึ่งแล้วทิ้งไว้ก่อน ผัดผ่อนไปเรื่อย “พรุ่งนี้ยังมีเวลา เอาไว้แค่นี้ก่อน” อะไรอย่างนี้เป็นต้น

เหมือนคนแก่ฟันไม่ดี เคี้ยวอาหารให้ละเอียดไม่ได้ พอจวนจะละเอียดก็กะล่อมกะแล่มกลืนเข้าไป กินก็เท่ากับไม่กิน เผลอๆ อาหารที่กลืนเข้าไปไม่ย่อย หรือย่อยยาก เป็นโทษแก่ร่างกายอีก

ลักษณะคนทำงานคั่งค้างที่เห็นได้ชัดอีกอย่างหนึ่งคือ ชอบจับจด ทำงาน ก ได้หน่อยหนึ่งเบื่อ หันไปจับงาน ข ไปได้หน่อยหนึ่ง หันไปจับงาน ค เลยไม่เสร็จสักอย่าง

บางท่านคิดว่าคนเช่นนี้เป็นนักริเริ่ม เริ่มงาน หรือวางแผนงานเก่ง หามิได้ อย่างนี้เขาเรียกว่าคนจับจดต่างหาก

งานค้างเป็นอัปมงคลก็เพราะก่อผลเสียให้ทั้งทางกายและใจ คิดไม่ดีไม่เห็น ทางกายนั้นเห็นได้ชัดๆ คือ ทำให้เปลืองแรง ต้องลงแรงถึงสองครั้งเป็นอย่างน้อย แทนที่จะเป็นครั้งเดียว ยกตัวอย่างเช่น ชาวนาไถนาไว้แล้วไม่ปักดำ ทิ้งไว้อย่างนั้นแหละเสียแรงงานไปครึ่งหนึ่งแล้ว พอถึงเวลาจะปักดำจริงๆ ต้องมาไถใหม่อีก เปลืองแรงไปครั้งที่สอง

เรื่องที่เราทิ้งค้างไว้ พอถึงเวลาจะทำให้เสร็จจริงๆ ก็ต้องนำมาดูย้อนต้นใหม่อีก เพราะลืมไปแล้วว่าเรื่องเดิมเป็นอย่างไรนี่แหละครับที่ว่าเปลืองแรง

แล้วเปลืองใจล่ะเป็นอย่างไร งานที่ทิ้งค้างไว้นั้นแหละ พอมีคนถามถึงหรือนึกขึ้นมาได้เมื่อไร ใจหายวาบทุกที ยิ่งเป็นงานที่เขากำหนดเวลาแน่นอนว่าไม่เกินวันนั้นวันนี้ด้วยแล้ว มัวแต่เอ้อระเหยอยู่ นึกขึ้นมาได้เหลืออีกสองสามวันจะครบกำหนดต้องตาลีตาเหลือกรีบๆ ทำลวกๆ พอให้เสร็จ

ผลก็กลายเป็นว่าทำอย่างย่อหย่อน ทำเสียๆ รู้ถึงไหนอายถึงนั่น

ถ้าไม่อยากเสียคนก็อย่าทำงานให้คั่งค้างอากูลนะครับ (บรรทัดสุดท้ายเตือนเจ้าของคอลัมน์นี้ด้วย)