การนิรโทษกรรมของใบชา | เรื่องสั้น : กิตติศักดิ์ คงคา

เรื่องสั้น | กิตติศักดิ์ คงคา

การนิรโทษกรรมของใบชา

 

1)

ใบชาคือเครื่องบ่งบอกฤดูกาลที่ดีที่สุด

เพราะเมื่อมีถุงใบชาใส่อยู่ในตู้ไปรษณีย์ประจำบ้านเมื่อไหร่ นั่นแปลว่าเทศกาลแห่งการเลือกตั้งใกล้เข้ามาถึงแล้ว ใบปลิวขนาดเล็กบอกชื่อพรรค เงินสดจำนวนหนึ่ง จะถูกรัดรวบอยู่กับถุงใบชา นั่นอาจจะเป็นช่วงที่น่าเปิดตู้ไปรษณีย์ที่สุดในรอบปี บางพรรคจ่ายมาก บางพรรคจ่ายน้อย คนส่วนใหญ่จะหยิบเงินใส่กระเป๋า แน่นอนว่าไม่ลืมนับจำนวนให้ชัดเจนก่อน ส่วนใบชาก็จะเอาไปชงกิน

“รอบนี้เขาให้กันแค่ห้าร้อยเอง”

พ่อบ่นขณะเดินเข้ามาในบ้าน แกะหนังยางออก หยิบธนบัตรสีม่วงใส่กระเป๋า และโยนถุงใบชาหน้าตาเหมือนๆ กันไปกองไว้บนโต๊ะ ผมมองใบชาเหล่านั้นอย่างสะอิดสะเอียน ก่อนจะหันกลับไปมองที่โทรทัศน์ สนามกีฬาแห่งชาติที่เพิ่งก่อสร้างไปได้ไม่ถึงสามปีกำลังฉาวเพราะเรื่องทุจริต นักการเมืองฮั้วประมูลกับบริษัทหน้าม้า โกงเงินประเทศชาติไปหลายพันล้าน หนีเข้ากลีบเมฆ

“กี่ห้าร้อยจะชดเชยกับพันล้านได้”

ผมพูดและกดเพิ่มเสียงโทรทัศน์ให้ดังและดังขึ้นไปอีก พ่อยืนมองข่าวนั่นเงียบ นักข่าวออกมาแฉรายชื่อรัฐมนตรีที่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ หนึ่งในนั้นมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ผู้แทนจากจังหวัดเรา และพ่อเลือก เลือกเพราะเขาให้เงินมากที่สุดมากับใบชาขยะ

“มึงไม่เข้าใจหรอก”

“ไม่เข้าใจอะไร มันเข้าใจยากตรงไหนพ่อ พ่อขายเสียงโดยไม่สนใจความฉิบหายของประเทศชาติ แล้วไงอะพ่อ พวกมันจะเอาเงินภาษีพวกเราไปถลุงเท่าไหร่ก็ได้ใช่ปะ ขอแค่พวกมันโยนเศษเงินให้พ่อห้าร้อย พ่อก็พร้อมจะกระโดดงับ”

ผมพูดพร้อมประจันหน้ากับพ่ออย่างท้าทาย ดวงตาพ่อแววโรจน์ ไม่มีความตกใจหรือรู้สึกผิดเจือปนอยู่แม้แต่น้อย ผมยิ้มเหยียด พ่อเดินจากไป ผมเดินตรงเข้าไปที่โต๊ะ เตะจนคว่ำ ก่อนจะใช้เท้าเหยียบถุงชาจนเศษใบชาแห้งกระจายเต็มห้อง ผมกระทืบ ขยี้ และบดด้วยส้นเท้าซ้ำๆ ตะโกนโวยวาย เกลียดถุงชาเหล่านั้นยิ่งกว่าอะไรดี ภาวนาให้พรรคการเมืองพวกนี้ล้มหายตายจากไปเสียที

…แต่เมื่อฤดูกาลผ่านพ้นไป พรรคที่จ่ายแพงที่สุดก็ได้จัดตั้งรัฐบาลเหมือนเดิม

 

2)

ผมเติบโตขึ้นท่ามกลางความร่วงโรยของพ่อ

วันที่ผมทะเลาะกับพ่ออย่างรุนแรงที่สุด นั่นเป็นการเลือกตั้งครั้งสุดท้ายที่ผมยังไม่มีสิทธิ์ลงคะแนน หลังจากนั้นเป็นต้นมา ผมเองก็มีหนึ่งเสียงเท่ากับพ่อ และแน่นอนว่าผมทำตรงกันข้ามกับพ่อทุกอย่าง ผมเดินสายไปนั่งฟังนโยบายจากพรรคการเมืองทุกพรรคอย่างตั้งใจ จดใส่สมุดบันทึกไว้ รวมไปถึงแบ่งปันให้ใครต่อใครที่อยากจะศึกษาอุดมการณ์ของแต่ละพรรคโดยละเอียดด้วย

ส่วนพรรคการเมืองไหนที่ส่งถุงใบชาห่อเงินให้ผม ผมจะคลี่เอาใบปลิวบอกชื่อพรรคมาแขวนเป็นธงที่หน้าบ้าน เขียนราคาที่พวกเขาตีค่าพวกเราไว้ และใช้ปากกาสีแดงสดเขียนธนบัตรสินบนไว้ตัวใหญ่ๆ ว่า ดูถูกประชาชน แค่ไม่นานข้ามคืน คนของพรรคเหล่านั้นก็จะมาแอบเก็บใบปลิวและเงินสกปรกเหล่านั้นกลับไป ผมทำได้อยู่สองครั้งก็ไม่เคยมีใบชาห่อเงินส่งมาที่บ้านอีก

ผมไม่ได้คุยกับพ่อเลย

ตั้งแต่วันนั้น บ้านที่มีกันอยู่แค่สองคนปราศจากเสียง ผมวางสมุดโน้ตจดสารพัดอุดมการณ์ลงบนโต๊ะเสียงดัง พ่อหันมามองเงียบๆ แววตานั่นทำเอาผมรู้สึกโกรธอย่างบอกไม่ถูก มันเหมือนกับวันที่พ่อเลือกที่จะหันหลังให้กับความถูกต้อง แววตาที่ตะโกนออกมาว่า ผมไม่รู้อะไรเลย ผมไม่เคยรู้อะไรเลย มือของผมสั่น หัวของผมเลอะเลือน ผมเปิดสมุดโน้ตเหล่านั้น ก่อนจะอ่านออกมาเสียงดังลั่น ไม่รู้เพราะอะไร

“พรรคจะยึดนโยบายความเท่าเทียมเป็นอันดับหนึ่ง พวกเราจะยกเลิกนโยบายกีดกันทางเพศ สนับสนุนให้คนเพศเดียวกันจดทะเบียนสมรสได้ ระบบการเกณฑ์ทหารจะเปลี่ยนเป็นความสมัครใจ และผู้หญิงลาคลอดได้หกเดือน”

พ่อมองหน้าผมเงียบ ก่อนจะเริ่มต้นพูดประโยคแรกออกมา “ความเท่าเทียมนี่มันกินได้ไหม”

ผมจ้องผู้ชายตรงหน้าจนรู้สึกเหมือนลูกตาแทบจะหลุดออกจากเบ้า โกรธจนไม่รู้จะโกรธยังไงดี พ่อกล้าพูดอะไรแบบนี้ออกมาได้ยังไง ผมเดินเข้าไป หยุดยืนตรงหน้าพ่อ มองลึกเข้าไปในดวงตาพ่อ ตะโกนตั้งคำถามท่ามกลางความเงียบงัน เนื้อในอกเหมือนถูกบีบอัดจนแหลกเป็นเศษชิ้น ความผิดหวังล้นเอ่อท่วมท้นขึ้นมาอย่างยากจะห้ามปราม พ่อมองเห็น เห็นทุกอย่าง เห็นไม่ต่างจากที่ผมเห็น ผมพยายามข่มอารมณ์ที่สุด เลือกพูดประโยคสุดท้ายก่อนจะเดินจากไป…

“พ่อไม่เคยเห็นคนเท่ากันอยู่แล้วนี่ พ่อจะไปรู้อะไร”

 

3)

พ่อตายไปหลายปีแล้ว

พ่อหันหลังให้ผม ผมจึงหันหลังให้พ่อ ตัดสินใจออกไปใช้ชีวิตในห้องเช่าข้างนอก จนวันหนึ่งพ่อก็ตายอย่างสงบในบ้าน เพื่อนบ้านเห็นไฟในบ้านมืดผิดปรกติจึงเรียกตำรวจมาดู พ่อหกล้มหัวฟาดพื้นตายในห้องน้ำ หลังจากจัดการศพเรียบร้อย ผมก็ย้ายกลับมาอยู่บ้าน

โลกเคยเป็นแบบไหน โลกก็ยังคงเป็นอยู่แบบนั้น พรรคที่ผมเข้าข้างอย่างสุดใจมีคะแนนนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่มากพอจะเป็นรัฐบาลเสียที ผมอดทนติดตามในฐานะประชาชนคนหนึ่งมานาน จนกระทั่งผมอายุเหยียบสี่สิบปี ผมจึงทนไม่ไหว ตัดสินใจที่จะไม่เป็นแค่ผู้ชมอีกต่อไปแล้ว

ผมสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรค ก่อนจะใช้เวลาไม่นานไต่เต้าจนได้เป็นสมาชิกบัญชีรายชื่อในการเลือกตั้งครั้งหน้า ความคิดของผมเป็นประโยชน์ต่อพรรคมาก โดยเฉพาะการมองเห็นจุดตายของพรรค พวกเราประชาสัมพันธ์น้อยเกินไป เข้าถึงประชาชนน้อยเกินไป เอาแต่รอคนเดินเข้ามาหา แต่พรรคการเมืองที่ดีจะต้องเดินเข้าหาประชาชน

“นโยบายนี้จะต้องสร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ได้แน่”

ผมย้ำหนักแน่นในที่ประชุมพรรค ทุกเก้าอี้ที่นั่นเต็มไปด้วยสายตาแห่งข้อกังขา แต่ผมยืนยันคำเดิมว่าพรรคต้องเปลี่ยนแปลง ไม่อย่างนั้นเราจะได้เป็นแค่พรรคเล็กประดับอยู่ฝ่ายค้านไปจนตาย สุดท้ายมติที่ประชุมก็อนุมัติให้ทำตามที่ผมบอก ผมยิ้มไปรอบห้องอย่างดีใจ กลับไปที่บ้านอย่างตื่นเต้น ไม่กี่วันนโยบายแรกที่ผมผลักดันก็คงจะสำเร็จเป็นรูปเป็นร่างแล้ว

ผมลางานรออยู่ที่บ้านหลายวัน เดินไปทั่วเหมือนหนูติดจั่น รออย่างใจจดใจจ่อจะได้ยินเสียงกริ่งขึ้น จนเมื่อวันที่สามของการรอคอยนั่นแหละ เสียงเคาะประตูบ้านก็ดังขึ้น ผมรีบปรี่ออกไปอย่างดีใจ แต่เมื่อเปิดประตูออกไปรถจักรยานยนต์เจ้ากรรมก็ขับไปบ้านอื่นเสียแล้ว

ผมรีบตรงไปที่ตู้ไปรษณีย์ เปิดตู้ออก ก่อนจะร้องออกมาอย่างดีใจ ในนั้นเป็นถุงใบชาแบบที่ผมเคยเห็นตอนเด็กๆ แต่มันถูกห่อด้วยใบปลิวของพรรคที่ผมทำงานด้วย และห่ออีกชั้นด้วยกระดาษสำเนาหนังสือปรัชญา อุตมรัฐ หนังสือบันทึกบทสนทนาของโสเกรตีสที่บันทึกโดยเพลโต ผมหยิบออกมาลูบอย่างดีใจ วิธีการเดียวที่จะทำให้ประชาชนทั่วไปหันมาเลือกพรรคเราได้ นั่นคือทำให้พวกเขาฉลาดพอ

ผมถือถุงใบชาและใบปลิวพรรคกลับมาในบ้าน

หันไปมองรูปพ่อ เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก…แต่ก็ไม่รู้ว่าอะไร •