คำ ผกา : จะดิ้นหรือจะเป็นซอมบี้

คำ ผกา
AFP PHOTO/Pornchai KITTIWONGSAKUL / AFP PHOTO / PORNCHAI KITTIWONGSAKUL

“ผมไม่เอาทั้งสุเทพและอภิสิทธิ์ครับตอนนี้ ผมเอา คสช. ผมเอาทหาร”
พ่อค้าวัยห้าสิบปลายบอกฉันแบบนี้หลังจากถามว่าจะเลือกเชื่อสุเทพ หรือเลือกเชื่ออภิสิทธิ์ ในเรื่องการรับหรือไม่รับร่าง รธน. เมื่อถามต่อว่าเพราะอะไร

พ่อค้าท่านนั้นตอบว่า “นักการเมืองดีแต่สร้างความวุ่นวาย หาผลประโยชน์ให้ตัวเอง สู้ทหารไม่ได้ มาปุ๊บ บ้านเมืองสงบราบคาบ สบายใจ”

พูดจบพ่อค้าก็นั่งหลังพิงม้านั่งริมคลอง พ่นบุหรี่อย่างสบายอารมณ์

ส่วนฉันก็สัมผัสได้ถึงความสบายแห่งชีวิตริมแม่น้ำที่มีลมรำเพยทุกวัน

บรรยากาศร้านรวงของตลาดน้ำเงียบเชียบ สุขสงบ แม้เป็นวันอาทิตย์ ร้านกว่าร้อยละแปดสิบปิดร้างดูวังเวง เข้าใจว่าที่ปิดๆ เงียบๆ คงเป็นเพราะมีชีวิตสุขสบายแล้ว ไม่ต้องมาลำบากค้าขายอีก นักท่องเที่ยวอย่างฉันก็ทนวังเวงไปก็แล้วกัน

เดินออกจากบทสนทนาของมนุษย์ตัวเป็นๆ เข้าสู่โลกโซเชียลมีเดียก็มักเจอกับแนวคิดสุดคลาสสิคของ “ชาวไทย” ผู้ฉลาดเฉลียวยิ่ง

นั่นคือ

“ไม่ได้สนับสนุนเผด็จการนะ แต่คนไทยยังไม่พร้อมสำหรับประชาธิปไตยจริงๆ รอให้ทหารปฏิรูปบ้านเมืองจนคนไทยมีคุณภาพเสียก่อน ถึงตอนนั้น ค่อยมีประชาธิปไตยก็ยังไม่สาย ถึงเวลานั้นคนไทยคงจะเลือกแต่นักการเมืองมีคุณภาพเข้ามาทำงาน”

หันกลับมาดูข้อถกเถียงเรื่องร่างรัฐธรรมนูญ เขาก็คุยกันว่า สิทธิในการรักษาพยาบาลควรเป็นของคนทุกคน หรือมีพิเศษสำหรับผู้ยากไร้ การเรียนฟรีควรเป็นสิทธิของคนทุกคนหรือฟรีเฉพาะคนจน?

ซึ่งสร้างความงุนงงแก่ฉันมาก เพราะรัฐธรรมนูญไม่ใช่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

รัฐธรรมนูญไม่ใช่นโยบายหาเสียงของพรรคการเมือง เราจะเขียนสิ่งเหล่านี้ลงไปในรัฐธรรมนูญทำไม (ฮือๆๆๆ เขียนเรื่องนี้มาร้อยรอบแล้ว)

ท่านที่เห็นว่าควรเขียนก็เพื่อเป็น “สัญญาประชาคม” ว่าไม่ว่าใครจะเข้ามาเป็นรัฐบาล ต้องทำในสิ่งหล่านี้ ถ้าไม่ทำ ถือว่าทำผิดรัฐธรรมนูญ

แต่เดี๋ยวนะ สัญญาประชาคมแบบนี้ มันเป็นสัญญาระหว่างนักการเมืองกับประชาชนตอนหาเสียงเลือกตั้งไม่ใช่หรือ เช่น พรรค ก. หาเสียงว่า ถ้าประชาชนเลือกพรรคเขา และเขาได้เป็นรัฐบาล เขาจะจัดเรียนฟรี อนุบาลถึงมหาวิทยาลัย ทีนี้ถ้าเขาได้เป็นรัฐบาลจริงๆ แล้วไม่ทำตามสัญญา ถือว่าผิดสัญญาประชาคม การลงโทษที่เขาจะได้รับคือ อาจโดนฝ่ายค้านโจมตี อภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือไม่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากประชาชนอีก เพราะดีแต่พูด

เรื่องจุ๊กจิ๊กเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องไปเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญเลย

รัฐธรรมนูญในอุดมคตินั้นทำเพียงแค่ “กำหนดสิทธิของพลเมืองไว้สูงสุดและได้รับการปกป้องสูงสุด” เท่านั้นเลย

ทั้งหมดนี้มันสะท้อนอะไร?

สะท้อนว่า นับวันคนไทยยิ่งไม่เข้าใจว่าประชาธิปไตยคืออะไร? ฉันเขียนแบบนี้คนที่บอกว่าเมืองไทยไม่พร้อมสำหรับการเลือกตั้งก็คงตบเข่าฉาด แล้วบอกว่า “นั่นไง ในที่สุดก็ยอมรับ”

แต่ประเด็นคือ การไม่เข้าใจประชาธิปไตยนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่มีใครก็ไม่รู้เฝ้าผลิตองค์ความรู้ผิดๆ เกี่ยวกับหลักการประชาธิปไตยป้อนใส่หัวสมองคนไทยตลอดเวลา

เราเรียนประวัติศาสตร์ไทยกันมาแบบผิดๆ

และไม่เคยเชื่อมโยงการกำเนิดของประเทศไทยเข้ากับกำเนิดของประชาธิปไตย

เราไม่เคยตระหนักว่าประเทศไทยในฐานะที่เป็น “ชาติ” บนเงื่อนไขว่า ดินแดนหนึ่งอาณาจักรหนึ่งจะบรรลุซึ่งความเป็นชาติที่สมบูรณ์จะต้องมีเอกราชเหนือดินแดน และเอกราชทางการศาล และมีแผนที่บอกเขตแดนที่ชัดเจนและถูกต้องตามกฎหมายที่นานาชาติยอมรับ – เรามีคุณสมบัติครบถ้วนก็เหมือนหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475

เรายกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขต และเราได้เอกราชทางการศาลในปี 2481

จากจุดนั้นจึงพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าเราคือประเทศที่มีเอกราช มีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนที่สมบูรณ์

เมื่อเราเรียนประวัติศาสตร์กันมาผิดๆ เราจึงไม่เคยเชื่อมโยงนักการเมือง ประชาธิปไตย เข้ากับความเป็นรัฐและชาติของเรา

หนักกว่านั้น เรายังถูกสอนมาผิดๆ ว่า ทั้งนักการเมืองและประชาธิปไตยคือสิ่งแปลกปลอมของชาติและแผ่นดินไปเสียฉิบ เวลาเราพูดเรื่องเนรคุณบ้านเมืองนี่ เป็นเรื่องของนักการเมืองไปเต็มๆ

เมื่อตั้งต้นประวัติศาสตร์ว่าด้วยกำเนิดรัฐชาติของไทยผิด ประวัติศาสตร์ส่วนที่เหลือก็ย่อมพากันผิดเพี้ยนเหมือนเสื้อที่ติดกระดุมเม็ดแรกมาผิด

ฉันจะย้ำอีกรอบว่า – ความผิดอย่างมหันต์คือการที่ประวัติศาสตร์ที่ว่าด้วยการคืนความเป็น “คน” ให้ “คนไทย” ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ถูกบิดเบือนว่าเป็นการสร้างความหายนะให้สังคมไทย

เมื่ออยู่กับความบิดเบือนเช่นนี้ คนไทยจึงไม่เคยเห็นคุณค่าในความเป็น “คน” ของตนเอง

เราไม่เห็นค่าในความเป็น “คน” ของตนเอง แล้วเราเห็นค่าในอะไร?

คนไทยเราที่เกลียดประชาธิปไตยเหมือนไส้เดือน กิ้งกือ เห็นค่าในความเป็น “คนของใคร” คุณค่าของเราจะถูกอ้างอิงจากการเป็นลูกใคร เป็นเพื่อนใคร เป็นลูกน้องใคร เป็นรุ่นพี่ใคร เป็นรุ่นน้องใคร เป็นหน้าห้องใคร เป็นหลังห้องใคร เป็นผัวใคร เป็นเมียใคร ฯลฯ

อาการรังเกียจนักการเมืองของคนไทยแท้จริงคือการรังเกียจตัวเอง

เพราะหากนักการเมืองคือตัวแทนของประชาชน การเกลียดนักการเมืองเข้าไส้ก็เท่ากับการเกลียดประชาชนเข้าไส้

ถึงทุกวันนี้คนไทยฉลาดๆ ที่บอกว่าคนไทยยังไม่พร้อมสำหรับประชาธิปไตย คือคนที่ไม่ยอมรับว่าตนเองเป็นคนในความหมายของสิ่งมีชีวิตที่สามารถเลือก ออกแบบ และกำหนดชะตาชีวิตของตนเอง

คือไม่เคยเชื่อว่าชีวิตของตัวเองเป็นของตัวเอง

สําหรับฉัน นี่เป็นสิ่งที่ประหลาดที่สุด เพราะคนครึ่งหนึ่งในโลกนี้ เสียเลือด เสียเนื้อ เสียชีวิตในการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่ง “สิทธิ” ที่จะกำหนดชีวิตและชะตากรรมของตนเอง และมีคนไทยจำนวนมาก ทุรนทุราย อยากมอบความเป็นคนไว้ในกำมือทหารบ้าง ไว้ในกำมือผู้มีบารมีบ้าง ไว้ในกำมือนักปราชญ์บ้าง ไว้ในมือโจรในคราบนักบุญบ้าง ไว้ในมือผู้ทรงศีลบ้าง ฯลฯ เพียงเพราะเชื่อว่าบ้านเมืองอันเรืองรองมั่งคั่งนั้นบันดาลได้ด้วยมหาบุรุษ/สตรีผู้มีปรีชาญาณ

มันยากมากสำหรับฉันที่จะเข้าใจว่าในโลกนี้คนที่ไม่อยากปกครองตนเองด้วยเว้ยเฮ้ย

มันเป็นเรื่องยากมากสำหรับฉันที่จะเข้าใจว่าในสังคมไทยที่ศิวิไลซ์มาระดับหนึ่ง ผ่านประสบการณ์การปกครองตนเองแม้จะลุ่มๆ ดอนๆ มาแปดสิบปี ผ่านการมีชีวิตในห้วงของประชาธิปไตยเต็มใบมาเกือบสิบปีเต็ม (ยุคที่เรามีนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง) จะไม่เข้าใจว่า สิ่งที่ดีที่สุดของนักการเมืองคือ “พวกเขาคือสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในกำมือของประชาชน”

นักการเมืองคือสิ่งมีชีวิตที่เกิดและดับตามเจตจำนงของประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง นักการเมืองไม่ใช่เสือ ไม่ใช่ราชสีห์ที่ไหน ที่เราจะต้องกลัว ต้องกำจัด เพราะการกำจัดนักการเมืองก็คือการกำจัดตัวเราเอง

นักการเมืองคือ “ตัวแทนของประชาชน”

ผู้บันดาลชีวิตให้กับ “นักการเมือง” คือ “ประชาชน” ดังนั้น ชีวิตของนักการเมืองคือชีวิตที่ชั่วคราว มีหมดวาระ ครบวาระแล้วต้องออกไป หรือไม่ก็ต้องลงมาในสนามให้ประชาชนมา “ชุบชีวิต” ให้ใหม่

เพราะฉะนั้น ไอ้ที่เที่ยวพูดว่า นักการเมือง เลว ชั่ว โง่ โกง ทำบ้านเมืองวิบัติ อัปรีย์ จึงเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ

เป็นเรื่องโกหกที่คนซึ่งเสียประโยชน์จากนักการเมืองแต่งขึ้นมาล่อลวงให้ประชาชนที่ยัง “หูเบา” หลงผิด และพากันหันหลังให้ประชาธิปไตย จากนั้น บรรดาคนที่ไม่ได้มีชีวิตในกำมือของ “ประชาชน” จะได้อยู่สวาปามอำนาจ โดยไม่ต้องมีใครมาบอกว่า “หมดวาระแล้วน่าจะกลับบ้านได้แล้ว”

เรื่องมันก็ง่ายๆ แค่นี้

แต่วิธีการทำงานของพวกสวาปามอำนาจไร้ขีดจำกัด ไร้วันหมดอายุตัวจริงก็มักจะ “ร้อนก้น” พวกคนดีที่คิดว่าตนเองฉลาดไว้ใช้เป็นปากเป็นเสียง โดยส่งเสริมให้คนพวกนี้ผลิตซ้ำวาทกรรม นักการเมืองชั่ว คนไทยโง่ สังคมไทยไม่เหมาะ ไม่พร้อมสำหรับประชาธิปไตย

พร้อมกันนั้นก็ใช้อำนาจที่ตนเองมีอยู่สกัดกั้นการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ และสรรพศาสตร์ทั้งปวงเสีย แล้วหล่อหลอมกล่อมเกลี้ยงสังคมไทยให้อยู่ในสภาพความจำสั้น ความจำเสื่อม

คนไทยตอนนี้จึงมีอยู่สองประเภทที่ขับเคี่ยวกันอยู่ คือคนในกรงที่ดิ้นรนจะออกมาแสวงหาอิสรภาพ กับคนไทยจำพวกที่กลายเป็นซอมบี้อย่างสมบูรณ์แบบ

พวกที่ดิ้นจะออกจากกรงก็คงต้องเจ็บตัวกันบ้างหรืออาจถึงตายถ้าดิ้นแรง

แต่ก็คงไม่มีทางเลือกกันมากนัก เพราะดิ้นมากก็ตาย ไม่ดิ้นเลยก็ต้องตายทั้งเป็นและกลายเป็นซอมบี้ไปในที่สุด