สุข เศร้า เหงา รัก ที่ปักกิ่ง | ปักกิ่งไม่อิงนิยาย

อีกไม่กี่วันจะครบสัญญา 1 ปีกับซีอาร์ไอ ความรู้สึกทั้งดีใจและเศร้าใจอย่างไรบอกไม่ถูก ดีใจที่จะได้กลับบ้านเกิดกลับไปพบครอบครัวที่จากมา แต่เศร้าใจและเสียดายกับประสบการณ์ ความรู้ และมิตรภาพที่อาจหาไม่ได้อีกแล้วในชั่วชีวิตคนเรา ผมรู้สึกใจหายเมื่อย่างเข้าเดือนสุดท้ายในการทำงาน คนเรานี่แปลก เวลามาถึงก็คิดถึงบ้านอยากจะกลับ พอใกล้จะได้กลับรู้สึกใจหาย มันคงเป็นเรื่องราวของชีวิต พานพบ ผูกพัน และพลัดพราก เป็นไปตามปกติวิถี และเพราะเราเป็นมนุษย์ที่มีความรู้สึกนึกคิดนั่นเองจึงเป็นเช่นนี้

ผมพยายามทำตัวให้ร่าเริง คิดเสียว่าเป็นเรื่องธรรมดา เรามาทำงาน หมดสัญญาแล้วเมื่อไม่ต่อก็ต้องกลับไป ช่วงนี้ผมต้องไปหาซื้อของฝาก เดินทางไปเยี่ยมเยียนและร่ำลาคนรู้จัก คุณลุงสุชาติคุณป้าศรีกานดา อาจารย์เกื้อพันธุ์และลูกศิษย์ เคลียร์ห้องกับเจ๊เจ้าของห้อง เดินทางไปตามสถานที่ต่างๆที่ชื่นชอบ อาทิ ร้านอาหารใกล้ๆคอนโด สวนสาธารณะฝั่งตรงข้าม จตุรัสเทียมอันเหมิน ห้างสรรพสินค้าใต้คอนโดที่อาศัยซื้อของและฝากท้องเป็นประจำเพื่อบันทึกความทรงจำเอาไว้

อากาศเดือนมิถุนายนในปักกิ่งกำลังสบายไม่หนาวและไม่ร้อน หลังทานอาหารกลางวันกับเพื่อนที่หน่วยและขึ้นมาทำงานตามปกติ จู่ๆผมมีอาการเวียนหัวห้องหมุนอย่างไม่เคยเป็น ผมต้องหลับตาและก้มหน้านอนฟุบกับโต๊ะแต่อาการไม่ดีขึ้น เพื่อนๆในหน่วยสังเกตเห็นผมฟุบไปนานจึงเข้ามาถาม ใครเป็นใครบ้างผมจำไม่ได้ บอกแค่ว่าเวียนหัวขอพักสักเดี๋ยว แต่แล้วมีอาการคลื่นไส้และอาเจียนออกมา ผมไม่มีปัญญาวิ่งไปห้องน้ำ อาเจียนมันตรงนั้นเลย  เพื่อนผู้ชายในหน่วยเข้ามาช่วยพยุง คุณโกสินทร์หัวหน้าหน่อยภาษาไทยเข้ามาไต่ถาม ผมบอกเป็นอะไรไม่รู้ เวียนหัวมากและห้องหมุน คุณโกสินทร์พาผมนั่งแท๊กซี่ไปโรงพยาบาล

อยู่ปักกิ่งจะครบปีผมไม่เคยป่วย อย่างมากเป็นหวัดเพราะอากาศเย็นหรือท้องเสียนิดหน่อยเพราะทานอาหารที่ไม่คุ้นชิน แต่ป่วยแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รู้สึกกัววลไปต่างๆนานา ใจคิดไปถึงลูกๆและภรรยาที่บ้าน แต่ยังไม่คิดจะโทรไปหาเดี๋ยวจะกังวลกันเปล่าๆ ถึงโรงพยาบาล คุณโกสินทร์ช่วยเป็นล่ามแจ้งอาการกับคุณหมอ พยาบาลเจาะเลือดไปตรวจ ผมได้แต่นอนหลับตา สักพักพยาบาลพาผมไปนั่งเอนตัวสบายๆนำเข็มมาเจาะเข้าที่เส้นเลือดตรงแขนซ้าย ผมลืมตามอง เขาให้ยาเข้าเส้นเลือดผมนั่นเอง ผมหลับตา เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้แต่รู้สึกดีขึ้นเป็นลำดับ ลืมตามองเห็นคุณโกสินทร์ยังนั่งอยู่ข้างๆ ผมถามคุณโกสินทร์กี่โมงแล้ว คุณโกสินทร์ว่าใกล้เวลารายงานสดแล้ว อาจารย์เป็นอย่างไรบ้าง ผมบอกดีขึ้นแล้วรายงานทางโทรศัพท์นี้เลย คุณโกสินทร์ถามว่า “ไหวนะ” ผมตอบว่า “ไหวครับ”

เวลานั้นผู้เชี่ยวชาญภาษาไทยมีผมประจำอยู่คนเดียว คนใหม่จะเดินทางมาอีกไม่กี่วัน การรายงานสดเรานัดหมายกับทางวิทยุจุฬาฯไว้ว่าจะหยิบเรื่องอะไรที่น่าสนใจมาพูด โชคดีว่าวันนั้นผมเตรียมเรื่องที่จะพูดไว้ตั้งแต่ช่วงเช้าจึงไม่ติดขัดอะไร รายงานสดผ่านทางโทรศัพท์ของคุณโกสินทร์ เป็นการรายงานสดจริงๆแบบไม่มีสคลิปต์ ยาใกล้หมดถุงอาการผมดีขึ้น หายเวียนหัวแต่ยังเพลีย คุณหมอบอกผ่านทางคุณโกสินทร์ว่า อาหารเป็นพิษสงสัยมีสารปนเปื้อน ให้ผมมาฉีดยาเข้าเส้นอีก 2 วัน พักผ่อนแล้วจะดีขึ้น ผมขอบคุณคุณหมอและคุณโกสินทร์ คุณโกสินทร์พาผมกลับที่พักบอกว่ามีอะไรโทรมาหาได้ตลอดเวลา

วันรุ่งขึ้น ผมไปทำงาน เพื่อนในหน่วยบอกให้กลับไปพักผ่อน แต่ผมว่าไม่เป็นไรแล้วแค่เพลียนิดหน่อยเท่านั้น ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วง โดยเฉพาะอาชางที่ช่วยทำความสะอาดพื้นที่ผมอาเจียนไว้เมื่อวานนี้ ช่วงบ่ายคุณโกสินทร์พาผมไปโรงพยาบาลจนครบสามวัน  พี่ซูจิ่น ผู้อาวุโสของหน่วยทำอาหารมาให้ผมทานช่วยที่พักฟื้น  รวมทั้งเพื่อนคนอื่นๆก็ดูแลเอาในใส่ผมเป็นอย่างดี   ผมรู้สึกประทับใจในมิตรภาพของเพื่อนทุกคนในหน่วยภาษาไทย คนเราถ้าไม่เจ็บป่วยก็คงไม่เห็นน้ำใจกัน หลังจากนั้นไม่กี่วันผมก็หายเป็นปกติ เตรียมตัวกลับบ้าน กินเลี้ยงอำลา  ไปร่ำลาเพื่อนที่ฟิตเนสเซ็นเตอร์  พวกเขาแปลกใจที่ผมหายหน้าไปเกือบสองสัปดาห์ ผมบอกแค่ว่าป่วยเพราะพูดจีนไม่เป็น

วันสุดท้าย ผมเก็บข้าวของเรียบร้อย มองดูทิวทัศน์จากหน้าต่างห้องพักที่อยู่อาศัยมาหนึ่งปี นึกถึงวันแรกที่คุณจางมารับที่สนามบินจนกระทั่งวันนี้ที่กำลังจะจากไป ชีวิตคือการเดินทาง ผมมองห้องพักแล้วขนของไปที่ทำงาน ทำงานช่วงเช้าตามปกติ กลางวันไปทานข้าวที่โรงอาหารมื้อสุดท้ายในปักกิ่ง  ขึ้นมาเก็บของบนโต๊ะทำงาน ร่ำลาเพื่อนทีละคน ถ่ายภาพร่วมกัน ผมกล่าวขอบคุณทุกๆคน  มนตรีทำหน้าที่พาผมไปส่งที่สนามบิน เราจากกันด้วยความรักและมิตรภาพ ด้วยรอยยิ้มและน้ำตาแห่งความอาลัย “หนีห่าว และ ไจ้เจี่ยน เป่ยจิ้ง”