มองเรือรบล่มเพราะคลื่นลมแรง-ความสูญเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุ อย่างเดียวจริงหรือ?

เหตุการณ์เรือหลวงสุโขทัยล่ม นับเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของกองทัพเรือไทย นำมาซึ่งความโศกเศร้าของญาติกำลังพลผู้เสียชีวิต

นอกจากนี้ ยังนำมาซึ่งความสูญเสียด้านศักยภาพความมั่นคงของประเทศไทย โดยเฉพาะประชาชนผู้เสียภาษีซื้อเรือ เพราะเรือสุโขทัยจัดเป็นเรือที่มีศักยภาพสูงในการป้องกันประเทศ แม้จะมีระวางขับน้ำไม่ถึงพันตัน แต่ก็มีการติดระบบอาวุธทันสมัยมากมาย ทั้งขีปนาวุธ ระบบตอปิโดปราบเรือดำน้ำ ปืนใหญ่ ระบบตรวจการณ์สมัยใหม่ จนเป็นเรือรบที่มีความสามารถในการต่อสู้ 3 มิติ ทั้งบนผืนน้ำ ใต้น้ำและ บนอากาศ เป็น 1 ใน 5 ของเรือรบที่มีความสามารถดังกล่าว

มีการประเมินกันว่าแค่ตัวเรือ เหตุการณ์ครั้งนี้ ประเทศไทยสูญเสียมูลค่าเป็นเงินงบประมาณไปมากกว่า 5 พันล้านบาท คำถามคือ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร เรือรบที่น่าจะมีศักยภาพในการป้องกันคลื่นลมได้ดีกว่าเรือทั่วไป ทำไมจึงเกิดเหตุดังกล่าวได้ ทำไมศักยภาพการสูบน้ำออกไม่ดี ทำไมบรรทุกทหารเกินกำลัง ทำไมเดินเรือฝ่าคลื่นลมแรงทั้งที่มีคำเตือน กระทั่งถึงคำถาม ทำไมทหารสูญหายมากกว่า 30 นาย และบางนายไม่มีเสื้อชูชีพ

หากย้อนเหตุการณ์สำคัญดังกล่าว จะพบเบาะแสบางอย่าง

 

รู้ข่าวจากข่าวที่โต้ข่าวลือ

ช่วงค่ำ18 ธ.ค. ขณะที่คนไทยกำลังรอดูคู่ชิงฟุตบอลโลกระหว่างอาร์เจนติน่าและฝรั่งเศส เวลาราวสองทุ่มนิดๆ จู่ๆคนไทยก็ได้เห็นข่าวจากสื่อมวลชนหลายสำนัก อ้างแหล่งข่าวกองทัพเรือที่ไม่ระบุว่าเป็นใครตำแหน่งใด รายงานตรงกันว่า กองทัพเรือตอบโต้ข่าวลือเรือหลวงสุโขทัยอับปาง ยืนยันไม่ถึงขั้นอับปาง แค่เกิดการเอียงเพราะลมแรง อยู่ห่างฝั่งแค่ 20 ไมล์ทะเล และเรือหลวงกระบุรีซึ่งอยู่ไม่ห่างก็กำลังไปช่วยแล้ว

นั่นคือครั้งแรกที่คนไทยรู้เรื่อง เกิดคำถามตามมาว่าเรือรบลำไม่ได้เล็กจะเอียงได้ยังไง แต่ลักษณะข่าวก็ยังทำให้รู้สึกว่าไม่น่าห่วงมาก ไม่ได้จมลงทันที มีกระบวนการช่วยเหลือเกิดขึ้น

เวลา 21.00 น. พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ให้สัมภาษณ์สื่อว่า กำลังพลของเรือหลวงสุโขทัยทุกนายปลอดภัย ก็ยิ่งทำให้คนอ่านรู้สึกมั่นใจ อีกไม่กี่นาทีเรือหลวงกระบุรีก็ถึง และยังส่งเรือหลวงภูมิพลฯ เรือหลวงอ่างทอง เฮลิคอปเตอร์ซีฮอว์ก ไปสมทบด้วย คาดว่าจะช่วยกำลังพลได้ทั้งหมด

แต่จากนั้นไม่นาน พล.ร.ท.ปกครอง มนธาตุผลิน โฆษกกองทัพเรือ ให้สัมภาษณ์เปิดเผยถึงสาเหตุที่เรืองว่าเกิดจากเครื่องจักรใหญ่ขัดข้อง ทำให้น้ำย้อนไหลกลับเข้าไปในตัวเรือ ทำให้เรือเอียง 60 องศา กำลังอยู่ระหว่างการเร่งระบายน้ำ แต่ก็แบ่งรับแบ่งสู้ว่าหากระบายไม่ไหวก็อาจจะต้องสละเรือ

เวลาราว 3 ทุ่มกว่าๆ คือสัญญาณครั้งแรกที่คนไทยรับรู้ว่าเรืออาจถึงขั้นจม แต่ก็คงไม่กระทบกำลังพลมากเพราะเรือหลวงกระบุรีไปถึงแล้ว

ล่มตอนเกือบเที่ยงคืน

เวลา 22.45 น พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ยืนยัน เรือหลวงสุโขทัยยังอยู่ในสถานะเอียง 60 องศา แต่ยังคงปลอดภัยสำหรับกำลังพลทั้งหมดที่ยังคงอยู่บนเรือ หากเคลื่อนย้ายมาลงเรือกระบุรีจะอันตรายมากกว่า การเกาะอยู่ที่ราวข้างกราบเรือจะปลอดภัยที่สุด แม้ปลดแพชูชีพ ก็ยังไม่ปลอดภัยเท่ากันอยู่ที่กราบเรือ

นั่นคือจุดยืนทางนโยบายชัดๆ ของผู้บัญชาการ ก่อนหน้าเรือจะจมไม่นาน

จากนั้นเวลาราวๆเที่ยงคืน คนไทยจึงได้เห็นข่าวด่วน กองทัพเรือเปิดเผยเรือหลวงสุโขทัย อับปางแล้ว น้ำทะเลไหลเข้าระบบเครื่องไฟฟ้า ผ่านท่อไอเสียข้างเรือ จนทำให้เครื่องผลิตไฟฟ้าดับ เครื่องจักรใหญ่หยุดทำงานไม่สามารถควบคุมเรือได้

ภารกิจช่วยเหลือกำลังพลดำเนินไปตลอดคืน กระทั่งเวลา เวลา 05.30 น. กองทัพเรือจึงรายงานช่วยเหลือได้แล้ว 73 นาย และยังคงอยู่ในน้ำ 33 นาย

นั่นคือช่วงเช้าไปจนถึงช่วงสาย ของวันที่ 19 ธ.ค. คนไทยจึงได้รู้ว่า มีทหารอีกมากกว่า 30 นาย สูญหายกลางอ่าวไทย ขึ้นมาบนเรือกระบุรีไม่สำเร็จ

ช็อกโลกทหารสูญหายกว่า 30 ชีวิต 

30 กว่าชีวิตบนอ่าวไทย ในคืนที่คลื่นลมแรงและหนาวจัด จึงกลายเป็นเรื่องเฉพาะช็อกคนไทยและชาวโลกทันที

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเป็นข่าวด่วน สื่อมวลชนทุกสำนักมุ่งไปที่ประจวบคีรีขันธ์

“ยืนยันว่ากำลังพลมีเสื้อชูชีพทุกนาย โดยเรือหลวงกระบุรีได้นำเสื้อชูชีพไปเสริมให้ทั้งหมด” พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ยังยืนยันผ่านสื่อ

เวลา 11.00 น 19 ธ.ค. กองทัพเรือออกมาเปิดเผยไทม์ไลน์เป็นครั้งแรก คนไทยจึงได้รับรู้ว่า น้ำเข้าเรือตั้งแต่เวลา 17.16 น. เครื่องยนต์ ระบบไฟฟ้าดับ การสื่อสารล่มตั้งแต่เวลา 18.17 น. เรือเอียงชัด 45 องศาตั้งแต่เวลา 19.56 น. ผ่านมาชั่วโมงเดียว เวลา 21.03 น. เรือก็เอียง 80 องศา ก่อนจะตัดสินใจปลดแพชูชีพเมื่อเวลา 23.08 น. 10 นาทีจากนั้นเรือเริ่มจมจากท้ายเรือถึงป้อมปืน และจมลงในเวลา 23.46 น.

เกิดคำถามว่า มีเวลาหลายชั่วโมงก่อนเรือจะจม แต่นโยบายไม่อพยพกำลังพล จนเรือจมลงก่อนนั้นถูกหรือไม่ แม้กองทัพเรือจะระบุว่าคลื่นลมแรงมากก็ตาม ก็ไม่มีวิธีที่ปลอดภัยมากกว่ารอให้เรือจมแล้วค่อยช่วยแล้วหรือ

เย็นวันที่ 19 ธ.ค. กองทัพเรือก็ยังใช้เรือหลวง 3 ลำในการเร่งค้นหา 30 กว่าชีวิตในทะเล แม้จะมีคำถามมากมาย เรื่องประสิทธิภาพการค้นหา แต่ก็เริ่มมีคำถามถึงสาเหตุที่ทำให้ทหารมากกว่า 30 ชีวิตถึงต้องสูญหายลอยไปในทะเล โดยเฉพาะเมื่อพบว่ากำลังพลที่อยู่บนเรือขณะเกิดเหตุเกินกว่ากำลังพลประจำเรือปกติ

เช้าวันที่ 20 ธ.ค.คนไทยจึงได้รับรู้ว่าทหารที่อยู่บนเรือนั้นมาจากหลายหน่วย แล้วจำนวนไม่น้อย ไม่ใช่นายทหารชั้นประทวนหรือสัญญาบัตร เป็นทหารเกณฑ์ ที่หลายคนว่ายน้ำไม่เป็น โดยเฉพาะที่สูญหาย ใน 31 คนนั้น ดูจากรายชื่อพบเป็นทหารเกณฑ์มากกว่า 10 คน

สังคมถามเสื้อชูชีพพอหรือไม่?

ในความไม่ชัดเจน สังคมดันเกิดคำถามขึ้นมาอีกว่า เสื้อชูชีพพอหรือไม่ ค้นหา 2 วันแล้วทำไมยังไม่พบ ทหาร 30 กว่าชีวิตสูญหายกลางทะเลได้อย่างไร ในขณะที่เครื่องมืออาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพทุกเหล่าเต็มไปหมด

ช่วงสาย 20 ธ.ค. ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ยังคงยืนยันว่าเสื้อชูชีพมีครบ และใช้คำว่ามีห่วงยางเพิ่มมาด้วย โดยอธิบายว่าเสื้อชูชีพมี 2 แบบ แบบห่วงยางก็ถือเป็นอุปกรณ์เซฟการ์ด

นั่นคือสัญญาณแรก เกี่ยวกับปัญหาเรื่องเสื้อชูชีพ ซึ่งกลายเป็นดราม่าในเวลาต่อมา

เวลาประมาณ 15.00 น. 20 ธ.ค. ญาติของจ่าโทนายหนึ่งซึ่งเป็นกำลังพลที่สูญหาย ได้เข้ามาถามข้อเท็จจริง ระหว่างที่ พล.ร.ท.พิชัย ล้อชูสกุล ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 กำลังให้สัมภาษณ์สื่อว่า หลานชายได้โทรศัพท์มาแจ้งกับครอบครัวว่าเรือกำลังจะจม แต่ไม่มีเสื้อชูชีพ เสื้อชูชีพไม่พอ ความปลอดภัยกลางทะเลไม่พอ จะให้ผู้ปกครองรู้สึกอย่างไร?

จากนั้นไม่นาน เวลา 18.16 น. คนไทยจึงได้รับรู้ข่าวเศร้า พล.ร.อ.ชลธิศ นาวานุเคราะห์ เสธ.ทร. ได้แถลงข่าวยืนยันว่า พบผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 5 ราย ขณะที่ทหาร 1 รายซึ่งช่วยเหลือมาได้ จาก 2 รายก็ได้เสียชีวิตลง วันนั้นจึงพบทหารเสียชีวิตแล้ว 6 ราย

เพิ่งยอมรับเสื้อชูชีพไม่พอ 

มีคำถามตามมาอีกมาก เช่นทำไมให้ทหารเกณฑ์ที่ว่ายน้ำไม่เป็น ขึ้นไปบนเรือ / ทำไมไม่ยอมเลื่อนพิธีการ เห็นอยู่ว่ามีคำเตือนพายุ / การซ่อมบำรุงเรือมีปัญหาใช่หรือไม่ น้ำถึงเข้าเรือมากขนาดนี้ / ทำไมเตรียมเสื้อชูชีพไม่พอ / ทำไมไม่ให้ทัพเรือนานาชาติร่วมช่วย ทั้งที่คนมากเครื่องมือเยอะขึ้น ยิ่งเพิ่มโอกาสหาผู้สูญหาย / ทำไมไม่พูดอะไรให้โปร่งใส ยิ่งปกปิดและให้คนมาไขปมภายหลัง คนยิ่งขาดความเชื่อมั่น

ต่อมา พล.ร.อ.เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือตั้งโต๊ะแถลงข่าว ยอมรับมีปัญหาเสื้อชูชีพไม่พอ

“การมีเสื้อชูชีพไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะรอดชีวิต…อย่ามองว่าคนไม่มีเสื้อชูชีพทั้ง 30 คนจะสูญเสียทั้งหมด เขามีการเตรียมพร้อม ช่วยกันอย่างไร สภาพอย่างนั้นทุกคนต้องช่วยเหลือกันและกัน” ผบ.ทร.กล่าว

นั่นแปลว่า หลัง 40 ชม. ผ่านไป กองทัพเรือเพิ่งออกมายอมรับ แสดงให้เห็นว่ากองทัพเรือรู้ปัญหานี้มาตั้งแต่ต้น

คำแถลงจากปากผู้บัญชาการสูงสุด นอกจากไม่ช่วยสร้างความมั่นใจ ยังถูกวิจารณ์ตามมาอย่างหนัก ตรรกะบางอย่าง ก็ไม่เหมาะสมที่จะพูด สะท้อนวิธีคิดที่มองความปลอดภัยเป็นรอง

 

ตรรกะผู้บัญชาการทหารเรือ 

ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ตอบโต้ถ้อยแถลงทัพเรือทันทีว่า “ยังต้องมีอะไรมาแก้ตัวกับการที่ไม่มีเสื้อชูชีพเพียงพอกับทหารเรือที่อยู่บนเรือ โดยเฉพาะนี่คือเรือหลวง ไม่ใช่เรือหางยาวคลองแสนแสบ นี่มันคือกฎสำคัญมาก cardinal rule ที่การออกเรือทุกครั้ง เครื่องชูชีพต้องมีพร้อม”

หรือจะเป็น สมบัติ บุญงามอนงค์ นักเคลื่อนไหวการเมือง ที่เขียนข้อความ ระบุว่า “เสื้อชูชีพไม่พอมันจะเป็นไปได้เหรอ เรือรบนะ ไม่ใช่เรือแสนแสบ”

ด้านวิโรจน์ ลักขณาอดิศร นักการเมืองจากก้าวไกล แสดงความเห็นว่า กรณีที่ เรือหลวงสุโขทัย มีจำนวนเสื้อชูชีพไม่เพียงพอนั้น กองทัพเรือต้องชี้แจงอย่างเร่งด่วน เรือดำน้ำไม่มีเครื่องยนต์ก็แย่พออยู่แล้ว ถ้าถึงขนาดเสื้อชูชีพ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน ก็ยังไม่มี นี่ถือว่าแย่มากๆ เลย ถ้าใช้ตรรกะของ ผบ.ทร. เวลาเจอ ตร. จับไม่ใส่หมวกกันน็อค ก็ให้ตอบไปว่า

“การใส่หมวกกันน็อค ไม่ได้หมายความว่า ทุกคนจะสามารถรอดชีวิต”

วิโรจน์ยังตั้งคำถามต่อว่า “อีกเรื่องที่กองทัพเรือต้องชี้แจงคือ นำเอา เรือหลวงสุโขทัย ออกไปปฏิบัติหน้าที่อะไร เป็นภารกิจที่สมเหตุสมผล หรือไม่ มีการตรวจสอบสภาพคลื่นลม มีการซ่อมบำรุงเรือ และเตรียมพร้อมก่อนออกปฏิบัติภารกิจ ที่รัดกุมตามมาตรฐานหรือไม่”

ขณะที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เรียกร้องขอให้มีการตั้งกรรมการสอบสวนสาเหตุว่าทำไมถึงต้องออกเรือ ทั้งที่มีคำเตือนพายุและคลื่นลมแรง รวมถึงกรณีเสื้อชูชีพไม่เพียงพอต่อลูกเรือ

เช่นเดียวกับภูมิธรรม เวชยชัย ที่ระบุว่ากองทัพเรือควรยอมรับความจริงและหาวิธีดูแลกำลังพลให้ดีที่สุดดีกว่า พร้อมรีบสรุปความผิดพลาดล้มเหลวให้เป็นบทเรียนไม่ให้เกิดขึ้นอีก ดีกว่ามานั่งปกปิดข้อมูลไม่ตรงไปตรงมากับการเสนอข่าวให้ประชาชน

 

จัดงบมุ่งแต่เรือดำน้ำ

ด้าน พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ แห่งพรรคก้าวไกล ระบุว่าจากคำชี้แจงของกองทัพ สะท้อนว่ากระบวนการบำรุงรักษาของกองทัพเรือมีปัญหา ซึ่งก็ไม่แปลกใจ หลายปีที่ผ่านมา กองทัพเรือจัดสรรงบจำนวนมากเพื่อจัดซื้อเรือดำน้ำ และโครงการ ยุทโธปกรณ์ ต่างๆที่สนับสนุนเรือดำน้ำ จนต้องลดงบประมาณส่วนอื่นลง

ขณะที่ท่าทีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม นอกจากจะมีแอกชั่นน้อย ต่อเรื่องที่เกิดขึ้น จนถูกตั้งคำถามในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่ลงพื้นที่ไปสั่งการ อำนวยความสะดวก หรือให้กำลังใจการทำงานของบุคลากร ญาติของทหารที่สูญหายหน่อยหรือ เพราะยังคงไปตามตารางปกติ แต่กลับให้สัมภาษณ์ตำหนิคนที่ออกมาวิจารณ์กองทัพเรือว่า “ซ้ำเติม” ทั้งที่อันที่จริง ไม่มีใครซ้ำเติม แต่เขากำลังหาความรับผิดชอบ เพราะมันมีคนเสียชีวิต สะท้อนการตีความผิดเพียนไปใหญ่

“เห็นบางส่วนก็วิพากษ์วิจารณ์กันไปเยอะแยะไปหมด นี่เหตุการณ์คนเสียชีวิตนะ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาซ้ำเติม ไม่ใช่เรื่องที่เราจะมาพูดจาให้ร้ายเสียหาย นี่แหละคือประเทศไทยเป็นอย่างนี้ เพราะอะไร ก่อนที่จะกล่าวทิ้งท้ายว่าขออย่าสร้างความเกลียดชังกันมากนักเลย ยุ่งไปหมดทุกเรื่อง”พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

นั่นคือท่าที ความเห็นทั้งหมดที่เกิดขึ้น หลายคำถามได้รับการไขปริศนาแล้ว เพราะแรงกดดันจากสังคม หลายคำถาม ยังคงต้องหาคำตอบต่อ โดยเฉพาะคนรับผิดชอบ ซึ่งจนถึงวันนี้ยังไร้วี่แวว ไม่มีแม้แต่คำขอโทษจากปากของใคร เพราะไม่มีใครมองว่าเป็นเรื่องผิดพลาดเรื่องการบริหารจัดการ

โบ้ยให้มองเห็นต้นเหตุอย่างเดียวคือคลื่นลมแรง… จนอาจมองไม่เห็นว่าใครต้องรับผิดชอบ หรือต้องสรุปบทเรียน เพื่อปรับปรุงไม่ให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
– มองเรือรบล่มเพราะคลื่นลมแรง-ความสูญเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุ อย่างเดียวจริงหรือ?
– เปิดไทม์ไลน์ เรือหลวงสุโขทัยล่ม จมทะเลอ่าวไทย ปิดตำนาน หนึ่งในเขี้ยวเล็บทร.ไทย
– ผบ.กองเรือยุทธการ ชี้ทะเลคลั่งสาเหตุหลัก ทำเรือสุโขทัยล่ม ยันเสื้อชูชีพ-ห่วงยางมีครบ
– ทร.ยังเดินหน้าค้นหากำลังพลอีก 31 นาย จากเรือล่ม ยัน ขณะนี้ยังไม่พบผู้เสียชีวิต
– ทร. ยัน กำลังพล เรือหลวงสุโขทัยล่ม ดับแล้ว 4 นาย
– กลาโหม แจงยิบ ปม“เรือสุโขทัยล่ม” ยัน เรือไม่เก่า-งบฯซ่อมบำรุง 1.3 พันล้าน/ปี