จากมารดา “ธงทอง จันทรางศุ” กับงานเขียน “แม่คุยกับลูก” : ลำดับภาพความหลัง

แม่คุยกับลูก (6)

ย้อนอ่าน ตอน 5

เขาว่าคนแก่มักจะชอบนึกถึงเรื่องในอดีต แม่ก็เลยจะมานั่งลำดับภาพของความหลังดูสักวันหนึ่ง

ความหลังในครั้งนี้มันเริ่มขึ้นตั้งแต่ลูกยังตัวเล็กๆ

ตอนนั้นบ้านเราอยู่ซอยอารีย์ พหลโยธิน แม่ให้ลูกสองคนไปเรียนอยู่โรงเรียนสวนบัว ซึ่งเป็นโรงเรียนแรกของลูก

โรงเรียนนี้ ในตอนนั้นคุณหมออวยท่านเพิ่งตั้งขึ้นได้ไม่กี่ปี มีน้องสาวของท่านคือพี่ออมเป็นผู้จัดการ

ตอนแรกหน่า (ธงทอง จันทรางศุ) ไปเข้าคนเดียวก่อน ตอนแม่ให้หน่าไปเข้าโรงเรียนนั้น หน่าอายุได้สี่ขวบ เพราะอายุของหน่าจะคาบอยู่ระหว่างชั้นเรียน

แต่ตอนที่ยุ้ย (ธารทอง จันทรางศุ) ไป อายุของยุ้ยก็คาบชั้นเหมือนของหน่าอีกนั่นแหละ แต่ตอนนั้นแม่ย้ายบ้าน เปลื้องขอลาไปบ้าน แม่กำลังลำบากใจกับอีกหลายๆ เรื่อง แม่ก็เลยจับยุ้ยไปเข้าโรงเรียนตั้งแต่ยุ้ยได้แค่สามขวบ

ยุ้ยน่ารักมาก พูดกับแม่รู้เรื่อง ยุ้ยประกาศว่ายุ้ยจะไปโรงเรียน ยุ้ยเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ต้องกินนมขวดอีกต่อไป

พูดแล้วยุ้ยก็หยิบขวดนมขึ้นขว้างผลุงลงคลองไป (คลองอยู่หน้าบ้านของเรา) แล้วยุ้ยก็ไม่ร้องทานขวดอีกเลย แต่ใช้วิธีหันมาดื่มจากแก้วแทน

แต่พอไปโรงเรียนได้ไม่นาน แม่ก็จับได้ว่าทำไมยุ้ยจึงไม่เดือดร้อนนักกับการไปเข้าโรงเรียน

ปรากฏว่าพอโรงเรียนตีกระดิ่งเข้าชั้นเรียน ยุ้ยก็หอบหมอนลูกกลมยาว เหลวปอดแปดหน้าตาน่าเกลียดสกปรก (เพราะยุ้ยไม่ยอมให้ชัก) ใบที่หอบเอาไปจากบ้าน เดินหายออกไปจากชั้นโดยที่คุณครูไม่รู้ เดิน…เดินไปอีกตึกหลังหนึ่ง ซึ่งเป็นตึกเรียนของเด็กชั้นประถม หน่ากำลังนั่งเรียนอยู่ที่นั่นในชั้น ป.1

พอเพื่อนๆ หน่าเห็นยุ้ย ต่างก็จำได้ว่าเป็นน้องของเพื่อนจึงต่างก็เขยิบขยับให้ยุ้ยได้มีที่นั่ง ยุ้ยก็เข้าไปนั่งหน้าตาเฉย

ข้างคุณครูของยุ้ยก็ตกใจมากที่จู่ๆ ยุ้ยก็หายไปจากชั้น จึงวิ่งไปบอกเพื่อนๆ ก็สั่งให้ใครต่อใครตามหาตัวยุ้ยกันให้จ้าละหวั่น เกรงว่าจะเดินออกไปนอกถนน ป้าออมบอกกับแม่ว่า นึกว่าหนีกลับบ้าน

ยุ้ยทำอย่างนั้นอยู่หลายวัน จนป้าออมฟ้องแม่ จึงได้เลิก แต่ป้าออมบอกว่า พอจวนเวลาโรงเรียนเลิก ยุ้ยจะหอบหมอนใบเก่าซึ่งป้าออมตั้งฉายาให้ว่า “ไส้กรอก” มายืนจ้องเป๋งคอยแม่อยู่ที่ช่องทางเดิน

ถ้าป้าออมทัก ยุ้ยจะแก้ตัวว่า “เดี๋ยวคุณแม่มองไม่เห็น…”

เมื่อเด็กๆ ยุ้ยเป็นคนพูดทอดเสียงอ่อนเสียงหวานอยู่ข้างท้ายเหมือนเสียงของแจ้ในเวลานี้ ตอนนั้นแม่เป็นห่วงเสียแทบแย่ กลัวว่าจะไม่หาย

โตขึ้นมาอีกหน่อย ยุ้ยมีเพื่อนหญิงคนหนึ่งเป็นลูกคนจีนชื่อพี่กิมลั้ง มีบ้านอยู่หลังโรงเรียน บ้านของพี่กิมลั้งนี้เป็นร้านขายของชำ แล้วก็มีพวกเครื่องเขียนเล็กๆ น้อยๆ เป็นต้นว่าสมุด ดินสอ ยางลบ และแป้งเปียก เป็นต้น ซึ่งเด็กนักเรียนคนไหนขาดเหลืออะไรก็วิ่งไปซื้อหรือฝากพี่กิมลั้งซื้อ

วันหนึ่งยุ้ยมีของกลับจากโรงเรียนมาฝากแม่ แกะออกดูกลายเป็นถุงเกลือป่น ได้ความว่ายุ้ยไม่ได้ขาดเหลืออะไรเพราะแม่จัดไปให้ครบทุกๆ เช้า

แต่ยุ้ยอยากจะอุดหนุนพี่กิมลั้งกับเขาบ้างก็เลยซื้อเกลือป่นมาฝากแม่

แล้วก็ยังมีเอ๋ย

เอ๋ยเป็นหลานน้าเติบ ยุ้ยคงจำได้ดีเพราะน้าเติบเป็นเพื่อนรักของแม่ บ้านน้าเติบอยู่ในซอยเดียวกับโรงเรียน เพราะฉะนั้น เวลาที่น้าเติบกับแม่ต้องการจะติดต่อกัน เราก็ใช้ให้ยุ้ยกับเอ๋ยเป็นบุรุษไปรษณีย์

แม่ยังจำได้ในตอนนั้นยังไม่แยกหญิง แยกชาย แม่เคยเห็นเอ๋ยเดินเตะฟุตบอลดังตึงๆ อยู่ในโรงเรียนบ่อยๆ

แต่ตอนที่เอ๋ยเป็นสาวหน้าตาสวย เอ๋ยได้แต่งงานกับนายทหารหนุ่มคนหนึ่ง เอ๋ยกำลังมีความสุข เอ๋ยแต่งได้ไม่ถึงปีแฟนของเอ๋ยก็ไปเหยียบกับระเบิดตาย เอ๋ยทุกข์เสียจนไม่รู้จะทุกข์ยังไง เป็นแม่ม่ายตั้งแต่ยังสาว

เดชะบุญ เอ๋ยไปพบอาจารย์ดีท่านหนึ่งแนะนำให้หาวิธีแก้ทุกข์ด้วยการหันเข้าหาธรรมะ

เวลานี้ เวลายุ้ยกับเอ๋ยพบกัน เขาจะไปนั่งด้วยกันที่มุมหนึ่ง คุยกันเบาๆ ด้วยเรื่องของธรรมะ

โรงเรียนสวนบัวในสมัยนั้นเป็นโรงเรียนที่ดีมาก ตั้งแต่ท่านเจ้าของโรงเรียนลงมาจนกระทั่งถึงคุณครู ทุกคนมีหัวใจของความเป็นครูอยู่เต็มเปี่ยม

ในเวลาเย็นๆ แม่เคยพบท่านเจ้าของโรงเรียนเดินตรวจตราตามตึกเด็กด้วยตัวเอง ถ้าพบเด็กคนไหนรถทางบ้านยังไม่มารับจนเย็นเกินไป ท่านเกรงว่าเด็กจะหิว ท่านก็พาเด็กไปให้คนจัดหาของให้รับประทานเสียก่อน

ต่อมาภายหลัง แม่จึงได้ทราบว่าท่านปฏิบัติธรรม และมีโอกาสได้ทำมหากุศลหลายครั้งโดยได้ทำหน้าที่เป็นผู้พยาบาลรักษาพระอริยสงฆ์หลายท่านที่มีชื่อเสียงของประเทศ จนกระทั่งถึงเวลาที่ท่านเหล่านั้นละร่างของท่านไป

แม่ยังจำได้ว่าเมื่อถึงเวลามีพิธีสำคัญๆ ทางศาสนา เด็กเล็กๆ เหล่านี้จะได้รับการสอนให้รู้จักถึงการสวดมนต์กราบพระ ปล่อยสัตว์ ลอยกระทง ไหว้ครู และอีกหลายต่อหลายอย่าง

ซึ่งเป็นที่ประทับใจแม่มาก

อีกหลายปีต่อมา ลูกได้ย้ายมาอยู่ที่โรงเรียนแห่งใหม่นานแล้ว แม่อ่านพบข่าวในหนังสือพิมพ์ว่าจะมีการฌาปนกิจศพเพื่อนของลูกคนหนึ่งซึ่งเสียชีวิตด้วยโรคลิวคีเมีย

คุณพ่อของเพื่อนลูกคนนี้เป็นแพทย์ผู้ได้ต่อสู้เพื่อชีวิตของลูกมาพักใหญ่

ในวันเผาศพ พ่อแม่รีบพาลูกไปเผาศพเพื่อน…เป็นครั้งสุดท้าย…ไปพบครูเก่าๆ ของลูกกลุ่มใหญ่ ต่างดีอกดีใจทักทายกันเป็นการใหญ่

คุณครูเหล่านี้…ก็เหมือนกับเรา…ไม่มีใครได้รับบัตรเชิญเพราะเวลามีไม่พอที่จะทำเช่นนั้น แต่ทุกคนก็มา…ด้วยหัวใจของครู

เมื่อเร็วๆ นี้เอง หน่าได้รับจดหมายฉบับหนึ่งส่งมาจากทางปักษ์ใต้ เปิดออกอ่านดูเป็นจดหมายของคุณครูท่านหนึ่ง บอกมาว่าท่านยังคงระลึกถึงและติดตามผลงานของหน่าเสมอ

หน่าตื้นตันใจมาก ป่านนี้ท่านคงได้รับจดหมายตอบจากหน่านานแล้ว

เรารู้สึกโชคดีที่สามารถเลือกโรงเรียนดีๆ ให้ลูกเรียนเสมอ

แม้กระทั่งทุกวันนี้แม่ก็ยังคิดอย่างนั้น

แต่มีอยู่ปีหนึ่ง…ปีนั้นยังไง…ปีที่ยุ้ยเรียนอยู่ปลายปี ม.ศ.4 นั้น ยุ้ยคงยังจำได้

ก่อนหน้านั้นหนึ่งปี เกิดวิกฤตการณ์ขึ้นเกี่ยวกับน้าจิ๋ว แม่จะยังไม่เล่าในตอนนี้ละ แต่เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้คุณป้า แม่และน้าจิ๋ว หันมาทำสมาธิกันอย่างเอาจริงเอาจัง แล้วคุณป้าเจริญก็เลยจับยุ้ยเข้ามาทำสมาธิเสียอีกคนหนึ่ง ภายหลังแม่เพียงหนึ่งเดือน

ยุ้ยทำสมาธิได้เกือบๆ ปีเต็ม ก็พอดีเกิดเรื่องขึ้นมาเรื่องหนึ่ง ยุ้ยเล่าให้แม่ฟังว่า วันนั้นยุ้ยไม่สบาย ปวดหัวมาก (ยุ้ยเป็นไมเกรน จนกระทั่งปัจจุบันก็ยังปวดศีรษะอยู่เป็นประจำ) อยากนอน

ตอนนั้นอยู่ในระหว่างเวลาพัก ยุ้ยคิดจะเอนนอนสักครู่ก่อนเรียนชั่วโมงถัดไป จึงนอนลง ปากก็ร้องถามเพื่อนส่งๆ ไปยังงั้นเองว่า ใครมีหมอนบ้าง

ก็ใครล่ะจะมีหมอนมาโรงเรียน!

เพื่อนผู้หญิงที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ก็ร้องบอกว่า “ไม่มีใครมีหรอก อยากมีหมอนก็มานอนหนุนตักฉันสิ” หรืออะไรทำนองนั้น เพราะเด็กพวกนี้เล่นกันมาตั้งแต่เด็กอายุสิบขวบ

ยุ้ยก็เลยเลื่อนหัวไปหนุนตักเพื่อนแล้วก็นอนหลับไปทั้งๆ ปวดหัว จนกระทั่งครูเข้ามาในห้อง ยุ้ยก็ยังคงหลับอยู่ไม่รู้ตัว

ปรากฏว่าอาจารย์ผู้นั้นโกรธมาก เรียกเด็กสองคนมาว่ามากมาย แล้วก็มีจดหมายแจ้งทางผู้ปกครองเรียกมาพบตัว

อาจารย์ท่านนี้ เป็นที่เลื่องลือกันมากในโรงเรียนถึงเรื่องฝีปากจนกระทั่งเด็กๆ ตั้งฉายาให้

พ่อกับแม่ก็ไป ยอมรับผิดแทนลูกทุกอย่าง เรียนอาจารย์ไปว่าจะเรียกลูกมาว่ากล่าวตักเตือนไม่ให้ประพฤติเช่นนั้นอีก พูดเท่าไหร่อาจารย์ก็ยังไม่หายหน้าบึ้ง เราก็ปล่อยให้อาจารย์บ่นไปจนเหนื่อย แล้วเราก็กลับมาอบรมลูกที่บ้าน

ทีนี้เรื่องไม่จบลงเพียงแค่นั้น ปรากฏว่าหลังจากนั้น ทุกครั้งที่เด็กสองคนนี้พบหน้าอาจารย์เป็นต้องได้รับคำถากถางเสียดสี กระดานดำในห้องโถงจะมีใครไม่ทราบมาวาดรูปเด็กผู้หญิงกำลังท้อง มีลูกศรชี้เป็นทำนองว่าท้องไม่มีพ่อบ้าง อะไรบ้าง ทำนองนี้อยู่เรื่อยๆ ไม่ยอมเลิกรา

ตอนแรกลูกไม่เล่าเลย วันหนึ่งแม่ไปรับหลังโรงเรียนเลิก พอเข้ามานั่งในรถลูกก็ร้องไห้ แม่ตกใจมากเพราะตอนนั้นลูกโตมาก ไม่ได้ร้องไห้มาหลายปีแล้ว ถามว่าเป็นอะไร ลูกบอกว่า อยากบวช!

แม่ยิ่งตกใจใหญ่ ซักจนได้ความดังที่เล่ามาข้างต้นนี้

พอดีแม่กลับบ้าน ได้รับโทรศัพท์จากผู้ปกครองของเพื่อนยุ้ยคนที่รับชะตากรรมเดียวกันนี้

คุณแม่เพื่อนยุ้ยท่านนี้เป็นคนค้าขาย ต้องเดินทางไปต่างจังหวัดเป็นประจำ ตอนนี้ไม่เป็นอันกินอันนอน โทร.มาปรับทุกข์กลัวลูกออกจากโรงเรียนเพราะดูเป็นความผิดร้ายแรง แล้วก็ใกล้สอบแล้วด้วย รุ่งขึ้นจะเดินทางออกต่างจังหวัดบอกฝากลูกมากับแม่ด้วย ไม่รู้จะมีอะไรเกิดขึ้นอีกระหว่างไม่อยู่

คืนนั้นแม่โทรศัพท์ไปหาอาจารย์ใหญ่ กราบเรียนท่านตามความจริงทุกอย่าง ท่านอาจารย์ตกใจมาก บอกยังไม่ทราบเรื่อง ท่านพูดเป็นทำนองว่าอาจารย์ท่านนี้เป็นอย่างนี้เอง เป็นมานานแล้ว ไม่มีใครแก้ได้ แต่อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นท่านก็ไปจัดการให้เรื่องสงบลงได้ในที่สุด

ในตอนนั้นแม่ก็ได้แต่คิดว่า ถ้าเพียงแต่ว่าอาจารย์ท่านนั้นจะมีหัวใจของความเป็นครูมากกว่านั้นอีกสักนิด เรื่องนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น

แต่มาถึงตอนนี้ แม่กลับมาคิดว่ายุ้ยกับเพื่อนอาจจะเคยทำเวรทำกรรมอะไรไว้กับอาจารย์ท่านนั้นมาก็ได้ใครจะไปรู้ เพราะหลวงพ่อท่านก็บอกไว้ว่า ผลมันย่อมมาจากเหตุ

แม่จะขอเล่าต่ออีกสักนิดหนึ่งว่า หลังจากวันนั้น พอสอบเสร็จปิดเทอมใหญ่ยุ้ยก็ไปบวช (ยุ้ยยืนยันที่จะบวช) เป็นเณรอยู่ 24 วัน เพราะตอนนั้นยุ้ยอายุแค่ 17 ปีเท่านั้นเอง

ระหว่างที่บวช ยุ้ยหมั่นนั่งสมาธิทำภาวนาจนเป็นที่พอใจของพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณอาจารย์ แล้วก็นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ยุ้ยทำกรรมฐานมาจนทุกวันนี้

เกือบลืมเล่าไปว่า เมื่อปีที่แล้วยุ้ยแวะไปเยี่ยมโรงเรียน พบว่าอาจารย์ท่านนั้นไปถูกสุนัขที่บ้านใครไม่ทราบกัดเอาที่ข้อมือขวาตัดเส้นเอ็นขาดถึงมือพิการ ไม่สามารถจะใช้มือข้างนั้นหยิบชอล์กขึ้นมาขีดเขียนอีกได้…จนตลอดชีวิต

ส่วนเพื่อนหญิงของยุ้ยคนนั้นเพิ่งแต่งงานไปเมื่อปีที่แล้วนี่เองกับทหารอากาศคนหนึ่งซึ่งรักกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว ยุ้ยก็ไม่ลืมที่จะไปในงานของเขา