จากมารดา “ธงทอง จันทรางศุ” กับงานเขียน “แม่คุยกับลูก” : เรื่องสะใภ้

แม่คุยกับลูก (5)

ย้อนอ่าน ตอน  4 

วันนี้แม่จะขอคุยกับลูกถึงเรื่อง “สะใภ้”

ที่จริงแล้วแม่ควรจะพูดถึงเรื่องของ “เขย” ด้วย แต่ความจริงมันมีอยู่ว่า ตัวแม่เองมีแต่ลูกชาย ก็เลยจะขอพูดถึงแต่เรื่องของสะใภ้

แต่ถ้าพูดออกไปอย่างนี้แล้วจะทำให้เล็กและอ้อมเสียใจ แย้งขึ้นมาว่าเล็กและอ้อมไม่ใช่ลูกสาวของแม่เหมือนกันดอกหรือ

แม่ก็จะพูดเสียใหม่ว่าใช่ เล็กกับอ้อมก็เป็นลูกของแม่เหมือนกับคนอื่น เพียงแต่ว่าแม่มีลูกชายมากกว่าลูกสาวเสียเลยกระมัง ก็เลยจะพูดถึงเรื่องของสะใภ้ก่อน

แต่ก็อ่านๆ ไปเถอะ ในที่สุดก็จะได้รู้ว่า ไม่ว่าจะเป็นเขยหรือสะใภ้ก็คงจะมีความหมายเดียวกันในความรู้สึกของแม่

แม่จะขอพูดถึงแต่ตัวหน่า (ธงทอง จันทรางศุ) และยุ้ย (ธารทอง จันทรางศุ) ก่อน หวังว่าลูกๆ ทั้งหลายคงไม่ว่ากระไร

ก็เพราะแม่มีแต่ลูกผู้ชายนี่แหละ ใครต่อใครจึงช่างเป็นห่วงกันนักถึงเรื่องลูกสะใภ้ของแม่

แม่มาคิดดูปัญหาเรื่องนี้ดูจะเป็นปัญหาใหญ่มากในครอบครัวไทยๆ ของเรา

มีหนังสือหลายเล่ม ภาพยนตร์หลายเรื่อง ภาพยนตร์โทรทัศน์ก็มี ละครวิทยุยิ่งสนุกใหญ่ มีการบรรยายถึงความร้ายกาจของแม่ผัวกับลูกสะใภ้ที่น่าสงสาร

โดยมากสะใภ้ที่ถูกทารุณจากแม่ผัวมักจะเป็นสะใภ้ที่ต่ำศักดิ์ยากจน หรือไม่ก็เป็นลูกสาวของเจ๊กทำสวนผัก

คนฟังหรือคนดูต่างก็เอาใจช่วยตัวลูกสะใภ้กันจนสุดตัว เกลียดแม่ผัวใจร้ายกันขนาดถ้าตัวแสดงหลุดออกมานอกจอ บางทียังโดนแม่ค้าด่า

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

แม่มองดูแล้วคิดว่าเป็นเพราะครอบครัวไทยเรานั้นเป็นสังคมที่เกาะกันอยู่เป็นกลุ่มก้อน ไม่นิยมแยกตัวออกไปเหมือนฝรั่ง

บางครอบครัวแตกลูกแตกหลานกันออกไป ก็ยังคงรวมกันอยู่ภายในบ้าน คนแก่ในบ้านถูกจัดอันดับเลื่อนสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ตามจำนวนลูกหลานที่แตกออกไป คนแก่บางคนอยู่ได้ จนได้เป็นถึง “ทวด” ก็มีถ้าอายุยืนพอ

แล้วครอบครัวทั้งหลายเหล่านี้ก็จะรักลูกหลานของตัวเอง แต่จะนับเฉพาะลูกหลานของตัวโดยตรงเท่านั้น แต่ตัว “เขย” หรือ “สะใภ้” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทำให้เกิดลูกหลานก็ดี มักจะถูกนับเนื่องอยู่ในใจว่าเป็น “คนอื่น”

แม่เห็นบางครอบครัว สกุลใหญ่ๆ ด้วยซ้ำไป เวลามีประชุมกันในระหว่างครอบครัว จะด้วยเรื่องแบ่งมรดกหรืออะไรก็ตาม เขยหรือสะใภ้บางทีจะไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมประชุมด้วยหรอก

บางทีเขยหรือสะใภ้รู้ตัว โดนเข้าครั้งสองครั้งเลยเอาตัวเองออกไปก็มี

แต่ถ้าเขยหรือสะใภ้รายไหนสามารถเข้ากันได้กับครอบครัวเป็นปี่เป็นขลุ่ย เขยหรือสะใภ้รายนั้นมักได้รับคำนิยมว่า “เก่ง” หรือ “ฉลาด”

แต่มีอยู่น้อยรายมากที่ได้รับคำชมเชยว่า “เป็นคนดีจริงๆ”

เพราะอะไร

เพราะว่าเขยหรือสะใภ้นั้นมักจะมีหน้าที่สำคัญที่ตัวเองไม่รู้สึกตัวว่าจะต้องมีหน้าที่เชื่อมหรือประสานครอบครัวเล็กหรือกิ่งก้านสาขาที่แตกออกไปให้เข้ากันกับต้นไม้ใหญ่

โดยเฉพาะแม่บ้าน ซึ่งส่วนมากมักจะเป็นศูนย์กลางหรือหัวใจของแต่ละครอบครัว

เพราะฉะนั้น โดยมาก “สะใภ้” มักจะต้องทำหน้าที่หนักมากกว่า “เขย”

ยกเว้นแต่ว่าจะไปได้เขยที่ชอบทำหน้าที่ของแม่บ้าน แล้วก็บริหารงานทั้งนอกบ้านและในบ้านเบ็ดเสร็จด้วยตัวของตัวเอง

เขยอย่างนี้เป็นอันตรายเหมือนกัน คนเขาก็มักสรรเสริญ (ตรงข้ามน่ะ) ว่าเป็นคน “เค็ม” จ้ะ

แต่ถ้าให้แม่มองด้วยสายตาของคนกลาง ปัญหาในครอบครัวข้อนี้ก็ไม่ได้สำคัญอยู่ที่ฝ่ายเขยหรือสะใภ้ข้างเดียวดอก

ผู้ใหญ่ของครอบครัวซึ่งก็ทำหน้าที่เป็นพ่อผัว แม่ผัว หรือพ่อตา แม่ยาย (ก็แล้วแต่ว่าคู่แต่งงานใหม่จะอพยพไปอยู่กับฝ่ายใด) ก็มีส่วนในการช่วยกันแก้ปัญหาเกือบจะครึ่งต่อครึ่งทีเดียว

ระหว่างที่เข้าไปร่วมครอบครัวกันใหม่ๆ นั้น ปัญหายังไม่ค่อยเกิด เพราะต่างคนต่างยังถนอมน้ำใจกัน ยังไม่ค่อยได้เปิดให้เห็นถึงธาตุแท้ของกันและกันมากนัก

แต่นานไป คุ้นเคยกันมากขึ้น รู้จักกันมากขึ้น…ก็อย่างที่หลวงพ่อท่านพูดไว้นั่นแหละว่า คนเรามักจะมองข้ามตัวเอง ไม่มองดูตัวเอง แต่ไปเพ่งโทษคนอื่น ตัวเองนั้นโลภก็ไม่รู้ หลงก็ไม่รู้ อะไรๆ ก็ไม่รู้ แต่มองคนอื่น เห็นชัดขึ้นมาทีเดียว มองกันอย่างนี้บ่อยๆ อีกไม่นานก็แตกร้าว

แม่เห็นอย่างนี้มาหลายครอบครัว ของพี่บ้าง ของน้องบ้าง ของเพื่อนบ้าง ฟังมาแล้วจนเต็มหู ความผิดของคนอื่นทั้งนั้น ของตัวเองไม่มี

บางครอบครัวถึงกับแตกแยกกันไปเลยก็มี

มันทำให้แม่เสียดาย เสียดายความรู้สึกอันดีที่เคยมีต่อกัน

มีอยู่รายหนึ่ง หลานตาแป๋วแหววกำลังน่ารักน่าชัง พอแม่เรียกตัวไปบอกว่าแม่จะไม่อยู่อีกต่อไปแล้วบ้านนี้ ให้หวานเย็นเตรียมตัวไปกับแม่ได้

หวานเย็นนิ่งคิดอีกสักครู่หนึ่ง หวานเย็นคิดตก แอบวิ่งไปหาย่า กระซิบบอกกับย่าว่า “หวานเย็นมาคิดดูแล้วหวานเย็นไม่ไปหรอก หวานเย็นจะอยู่กับย่าดีกว่า” เพราะหวานเย็นนอนกับย่าจึงติดย่า

แต่เปล่าหรอก วันรุ่งขึ้นแม่เขาก็หอบหวานเย็นตัวปลิวออกไปจากบ้าน…ไปอยู่กับยาย…ไม่ไปแต่หวานเย็นหรอกนะ พ่อของหวานเย็นเขาก็เอาไปด้วย

ย่าของหวานเย็นทำปากเชิด ทำปากแข็งบอกแม่ว่า

“อยากไปก็ไปกันเทิ้ด ไปรู้ฤทธิ์เสียบ้างว่าต้องเลี้ยงลูกเองมันจะเป็นอย่างไร”

แต่…เปล่า แม่ไปเยี่ยมอีกสองสามวันถัดมา ย่าหวานเย็นยังหูตาบวม ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าแอบร้องไห้คิดถึงหลาน

เห็นแล้ว แม่อยากจะขอร้องว่าอยากให้ทั้งสองฝ่ายลดทิฐิลงเสียบ้าง จะได้มาพบกันสักครึ่งทาง จะโกรธอะไรกันไปนักหนา หลวงปู่บอกว่าคนเราน่ะอายุไม่ถึงร้อยมันก็ตาย ไม่ต้องไปแช่งก็ตายเอง สู้เก็บเวลาที่เหลือน้อยนั้นมาพูดกันดีๆ ไม่ดีกว่าหรือ

เราอย่าไปเสียเวลาจ้องมองดูเลยว่าคนอื่นเขาคิดอย่างไร ทำอย่างไร เสียเวลาเราเปล่าๆ บางทีก็คิดไปล่วงหน้าโน่นว่าที่เขาทำอย่างนี้แปลว่าอะไร เขามองอย่างนี้ พูดอย่างนี้แปลว่าอะไร อย่าขยันเป็นนักแปลนักเลย ขืนทำอย่างนั้นไฟก็ไม่รู้จักหมดเชื้อ เพราะเราคอยเติมคุมฝอยเข้าไว้เรื่อยๆ เมื่อไรไฟจึงจะดับ

คนเราหมู่มากอยู่ที่ไหนปัญหาก็มาก ครอบครัวไหนใหญ่ปัญหาก็ยิ่งเยอะ ต่างคนก็ต่างจิตต่างใจต่างความคิด ไม่มีใครหรอกที่ยอมรับว่าตัวเป็นผู้ผิด หรือว่าความคิดของผู้อื่นนั้นดีกว่าตน

อัตตานี่หนอช่างยิ่งใหญ่เสียจริงๆ

ถ้าเราคิดถึงตัวเองให้น้อยลงสักนิด ลูกคิดไหมว่ามันจะทำให้เรื่องต่างๆ น้อยลง ถ้าลูกยังไม่เคยได้คิด ก็ขอให้ลองพยายามดู

แม่บอกหลายหนแล้วว่าตัวแม่เองไม่ใช่คนดิบดีอะไร ในสมัยก่อน ก่อนที่แม่จะหันมาปฏิบัติธรรมนั้นแม่เลวกว่านี้มากมายนัก

ตัวแม่เองก็เคยผ่านปัญหานี้มาแล้ว แม่ก็ไม่ใช่สะใภ้ที่ดีอะไรนัก แต่แม่ก็สามารถพูดได้เต็มปากว่าแม่ได้แม่ผัวที่ดีเพราะคุณย่าของลูกท่านเป็นนักปฏิบัติ

ในตอนนั้นแม่คงเหมือนคนที่กำลังหลงอยู่ในป่า มีอะไรหลายอย่างในการประพฤติของคุณย่าของลูกที่แม่ไม่อาจเข้าใจได้ในตอนนั้น

แต่มาในตอนนี้ แม่เริ่มเข้าใจ แม่ไม่สงสัยเลยว่าในตอนที่ใกล้วาระสุดท้ายของท่าน หลังจากท่านไม่พูดมาตั้งหลายวัน ทำไมท่านจึงมีสติขึ้นมาอีกแล้วบอกกับพวกเราว่า มีวอมารับท่าน กำลังจอดรออยู่ที่สนาม

แม่พูดได้แต่เพียงว่า แม่มีบุญที่ได้เกิดมาเป็นสะใภ้ของท่านจ้ะ

แล้วก็อย่างที่หน่าก็รู้ว่า แม่ไม่ได้เป็นสะใภ้เพียงคนเดียวของท่าน คุณย่ามีสะใภ้ถึงสามคนที่อยู่ใกล้ชิดกับท่าน แต่ท่านก็วางตัวเป็นกลาง ไม่รักใครจนออกหน้า ไม่ชังใครให้รู้สึก

ตลอดเวลาที่แม่เป็นสะใภ้ของท่านมา แม่ไม่เคยได้ยินท่านตำหนิลูกสะใภ้คนหนึ่งให้อีกคนหนึ่งฟัง

คุณย่ารักลูกของท่านมาก และแม่คิดว่าท่านถือแนวปฏิบัติว่าถ้าลูกรักใครท่านก็จะถือว่าคนคนนั้นเป็นของรักของลูก ท่านก็จะไม่แตะ

ท่านไม่เคยบอกว่าท่านถูกใจใครไม่ถูกใจใคร ท่านให้ความเมตตาเสมอหน้ากันหมด และวางตัวสมกับผู้ใหญ่ที่ดี

เมื่อถึงคราวของแม่บ้าง แม่ก็คงจะได้คุณย่าเป็นตัวอย่าง

แม่ไม่ได้รับรองว่า แม่จะเป็นแม่ผัวที่ดีได้เท่าคุณย่าหรือไม่ แต่แม่มีความตั้งใจว่าถ้าหน่า, ยุ้ย เกิดรักผู้หญิงคนไหนขึ้นมา แล้วก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะให้เขาเป็นคู่ครอง

แม่ก็พร้อมที่จะรับเขามา ไม่ใช่เอามาเป็นสะใภ้หรอก แต่เอามาเป็นลูกสาวของแม่อีกคนน่ะจ้ะ หวังว่าสมาชิกที่มีอยู่เดิมคงจะไม่ร้องคัดค้านอะไร

พอแม่พูดมาถึงตรงนี้ แม่ก็นึกออกเชียวละว่านิกจะต้องร้องแซวแม่ออกมาว่า

“แหม คุณแม่พูดอย่างนี้ เดี๋ยวก็มีคนแห่กันมาสมัครเป็นลูกสะใภ้คุณแม่กันใหญ่ละ”

แม่ก็เลยจะขอตอบนิกเสียเลยตรงนี้ว่า ของพรรค์นี้มันแล้วแต่บุญวาสนาจ้ะ ถ้าหากว่าเราเคยได้ทำบุญร่วมกันมา มันก็คงไม่แคล้วจะได้เป็นแม่ผัว-ลูกสะใภ้กัน นิกคอยสะกิดแม่ไว้หน่อยก็แล้วกัน เผื่อแม่จะเผลอลุกขึ้นมาเล่นบทแม่ผัวใจร้ายใส่ลูกสะใภ้คนไหนเข้าบ้าง