จากมารดา “ธงทอง จันทรางศุ” กับงานเขียน “แม่คุยกับลูก”

แม่คุยกับลูก (3) ย้อนอ่าน ตอน 2  1

ก็อย่างที่กล่าวมาแล้วตั้งแต่ต้นว่า แม่นั้นมีลูกอยู่สองคนคือหน่าและยุ้ย

แต่ทั้งหน่าและยุ้ยนั้น ต่างก็มีเพื่อนเป็นจำนวนมาก ซึ่งต่างก็ได้กลายเป็นลูกของแม่ไปหมด

แม่ก็เลยกลายเป็นคนมีลูกเยอะ

ในบรรดาลูกหลายคนของแม่นี้ก็มีนิกรวมอยู่ด้วย

นิกนั้นเป็นคนขี้เล่น ขี้ขำ และมีอะไรดีๆ อยู่ในตัวเยอะแยะ

บางทีนิกก็มักจะเปลี่ยนที่กันเล่น เป็นต้นว่าจะพูดว่าความจริงนั้นนิกกับเพื่อนๆ ต่างหากที่เป็นลูกของแม่แท้ๆ ส่วนหน่ากับยุ้ยนั้นเป็นแค่ลูกบุญธรรมของแม่เท่านั้นเอง

มาวันนี้ก็อีก นิกเสนอขึ้นมาว่า ไหนๆ แม่จะเขียนเรื่องขึ้นมาอีก ก็ควรเอาชีวิตของลูกๆ มาเขียนคนละตอนไป

เป็นต้นว่า ตอนนี้เป็นเรื่องของอาร์ม ตอนต่อไปให้เป็นเรื่องของหนุ่มหรือของหมู ไพศาลแล้วก็เล็ก…

ตอนแรกที่ฟังแม่ตื่นเต้นเห็นจริงมาก เพราะไม่ต้องไปหาใครอื่นที่ไหน แค่เรื่องของนิกเอง ก็คงเล่าไปได้ตั้งหลายตอน

ชีวิตของลูกๆ แม่หลายๆ คนสนุกสนาน พิสดาร รันทด สนุกยิ่งกว่าหนังไทยหรือบ้านทรายทองที่นิกติดอกติดใจเสียอีก

แต่หลังจากที่ได้คิดดูแล้ว แม่ก็รู้สึกว่าถ้าได้นำชีวิตเหล่านั้นออกมาตีแผ่ แม่คงไม่แคล้วถูกฟ้อง เพราะลูกของแม่หลายๆ คนที่กล่าวมาข้างต้นนี้ล้วนแล้วเรียนกฎหมายมาทั้งนั้น

แม่ก็เลยต้องเอาความปลอดภัยเข้าไว้ก่อน อย่างมากก็คงจะขอตีแผ่ไม่เกินสองคน ด้วยความหวังว่าลูกบุญธรรมของแม่คงไม่ใจร้ายพอที่จะลุกขึ้นมาฟ้องแม่ของตัวเองเท่านั้น

เท่าที่พูดมาถึงตรงนี้ถ้าจะทำให้ใครต้องสับสนไปบ้างก็ต้องขออภัยด้วย

พูดถึงลูกหลายๆ คนของแม่แล้วก็เลยอยากจะคุยอะไรด้วยสักนิดถึงเรื่องการเลี้ยงลูก

เพราะต่อไปข้างหน้าลูกๆ ของแม่ก็คงจะมีโอกาสได้เป็นพ่อคนแม่คนไปตามกัน แล้วมีบางคนด้วยซ้ำไปที่ตอนนี้กำลังเป็นอยู่ เช่น อ้อมกับชาย เป็นต้น

การเลี้ยงลูกนั้น ในที่นี้แม่จะไม่พูดถึงการเลี้ยงลูกให้ได้ เพราะวิธีเลี้ยงเด็กให้โตนั้นมีเขียนอยู่แล้ว ในตำราหลายต่อหลายเล่ม

การเลี้ยงเด็กในที่นี้หมายถึงการเลี้ยงเขาให้โตขึ้นมาด้วยความสมบูรณ์ในด้านจิตใจ

ไม่ทราบว่ามีใครเคยคิดเปรียบเทียบมาบ้างหรือไม่ ว่าการเลี้ยงลูกนั้นก็เหมือนกับการชักว่าว ตึงไปว่าวก็ขาด หย่อนไปว่าวก็ตกท้องช้าง เราต้องระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา

สำคัญที่สุด อาวุธที่ใช้กำกับชนิดที่ขาดเสียมิได้ก็คือความรัก

อันความรักนั้นมีอานุภาพใหญ่หลวงนัก

ความรักในที่นี้แม่ขอพูดถึงแต่เพียงความรักระหว่างพ่อ-แม่ที่มีต่อลูก

แม่เป็นคนหนึ่งที่มีความรู้สึกว่าเลี้ยงลูกด้วยความรักนั้นง่ายกว่าใช้ไม้เรียวในเวลาเดียวกัน ความรักนั้นก็เป็นดาบสองคมที่ถืออยู่ในมือ

คนใช้ต้องใช้ให้เป็น เพราะถ้าใช้ไม่เป็นบางทีมันก็เป็นยาพิษขึ้นมาเหมือนกัน

ไม่มีพ่อ-แม่คนไหนที่ไม่รักลูก เพียงแต่ว่ารักมาก รักน้อย แล้วก็รักในแบบของตัวเอง

แม่เองก็ไม่ได้เป็นพหูสูตในเรื่องเลี้ยงลูก เพียงแต่อยากจะเล่าให้ฟังว่าแม่เลี้ยงของแม่มาในแบบไหน

แม่ยอมรับว่าแม่ใช้ความรักเข้ามาช่วยในการเลี้ยงลูกของแม่ให้ง่ายขึ้น ถ้าอ้อมกับชายจะนำเอาไปใช้บ้างแม่ก็ไม่ขัดข้อง

แม่เองก็เคยตีลูก ไม่ใช่ไม่เคยตี แต่จะตีน้อย เมื่อลูกยังเล็กๆ ยังโตไม่พอที่จะคิดได้ด้วยตัวเอง บางครั้งเด็กอาจจะยังไม่เข้าใจเหตุและผล เมื่อเราชี้แจงแล้วก็ยังโยเย ทำฤทธิ์

บางทีแม่ก็ตีแต่ไม่ได้ตีให้เจ็บ ตีให้รู้ว่าเมื่อชี้แจงเหตุผลแล้วยังไม่ยอมฟังก็อาจได้รับการลงโทษบ้าง

แต่แม่ตีลูกน้อยมาก เพราะแม่ชอบคุยกับลูกมากกว่า (จนเดี๋ยวนี้ก็ยังชอบคุยอยู่) แม่คุยกับลูกตั้งแต่ลูกยังเด็กๆ พูดไปเถอะ พูดเท่าที่เราอยากพูดเหมือนเราคุยกับเพื่อน แต่เป็นเรื่องที่ล้วนแล้วแต่ระหว่างแม่กับลูก

ความที่แม่ตีลูกน้อยมาก เพราะใช้วิธีนี้แล้วลูกจะไม่ดื้อ ลูกจะฟังเรา

แม่ยังจำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง ยุ้ยเล่นน้ำอยู่ในห้องน้ำเท่าไหร่ก็ไม่ยอมเลิกจนตัวซีดปากเขียวว่างั้นเถอะ ตอนนั้นยุ้ยอายุได้สักสามขวบเห็นจะได้ แม่พยายามชักชวนให้เลิกสักเท่าไหร่ก็ไม่ยอมฟัง แม่ก็เลยตีไปทีหนึ่ง

แม่ยังจำได้ว่าตอนนั้นยุ้ยโกรธแม่จนหน้าแดง โดดเข้ามาตีตอบแม่หนึ่งที

แม่ตกใจมากเพราะไม่คิดว่าจะได้รับการโต้ตอบ แม่ก็เอ็ดยุ้ย ยุ้ยตอบแม่ว่ายังไงรู้ไหม ยุ้ยแค้นแม่มาก ยุ้ยบอกว่า “ก็คุณแม่อยากมาตียุ้ยก่อนนี่”

คำตอบของยุ้ยทำให้แม่เข้าใจแล้วก็หายโกรธ กลายเป็นขำไป เพราะมันกลายเป็นว่าแม่ไม่ได้ตียุ้ยมานานจนยุ้ยลืมไปว่านี่เป็นการลงโทษ

ต้องเอาตัวออกจากห้องน้ำมาชี้แจงอยู่อีกพักหนึ่งจึงเข้าใจซึ่งกันและกัน

แม่เป็นคนที่ชอบคุยกับลูกมาก คุยทุกปัญหา ถ้ามีอะไรที่ลูกต้องการได้แม่ก็จะให้ ถ้าให้ไม่ได้แม่ก็จะให้เหตุผล

แม่เคยแม้แต่จะบอกถึงสถานการณ์เงินในบ้านให้ลูกฟัง ซึ่งลูกก็จะฟังและเห็นใจเรา

แม่คงไม่ใช่แม่ประเภทที่ยอมเสียสละ ยอมอดออมหรือเป็นหนี้เป็นสินเขาเพื่อให้ลูกได้สิ่งที่ดีที่สุดเสมอไป

แม่คิดว่าเราควรให้ลูกได้รับรู้สถานการณ์ และสภาพของครอบครัวตนเองตามสมควร เพราะมันจะทำให้เราเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน

ถ้าเราสามารถทำให้ลูกรู้จักตัวของตัวเองได้ตั้งแต่แรก ลูกของเราจะไม่มีปมด้อยเลย ถึงแม้ว่าต่อไปจะไปมีเพื่อนขี่รถเก๋งยาวใหญ่และเป็นถึงลูกนายกรัฐมนตรี

การที่เราได้ใกล้ชิดกับลูก บางทีก็จะทำให้เราได้เห็นว่าปัญหาเล็กๆ บางทีก็เป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่สำหรับลูก

แม่ยังจำได้ว่า มีอยู่วันหนึ่งหน่านั่งร้องไห้น้ำตาไหลอาบหน้า รถของโรงเรียนกำลังจะมารับภายในเวลาอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า

แม่ถามได้ความว่าครูให้มาท่องการบ้านว่าในปีหนึ่งน่ะมีสิบสองเดือนเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษว่าอะไรบ้าง (ตอนนั้นอยู่อนุบาลเอง) หน่าท่าทางเป็นทุกข์มาก

แม่สงสารลูกจับใจ พยายามปลอบว่าไม่เป็นไร ยังพอมีเวลาอีกถมไป

แม่ค่อยๆ ต่อการบ้านให้ลูกทีละคำ พยายามทำใจให้เย็น ไม่เอ็ดเลยแม้ว่าลูกจะท่องผิด

จนในที่สุดหน่าก็สามารถท่องได้ทันก่อนที่รถโรงเรียนจะมา

เห็นสีหน้าของลูกตอนที่วิ่งไปขึ้นรถโรงเรียนช่างตรงข้ามกับที่นั่งจับเจ่าอยู่เมื่อกี้

จึงได้รู้ว่าปัญหาเล็กนั้นบางทีก็เป็นความทุกข์อันใหญ่หลวงสำหรับเด็ก

ลูกยิ่งโต เราก็ยิ่งต้องเข้าไปรับรู้ปัญหาของเขา เมื่อรู้แล้วก็ต้องช่วยกันแก้ปัญหาเรื่องครู เรื่องเรียน เรื่องเพื่อน เรื่องเล่น สารพันปัญหาไปหมด

อ้อ! มีอยู่เรื่องหนึ่งที่อยากเล่า คือหน่านั้นเกิดมามีบุญอยู่อย่างหนึ่งคือมีสมองดีจึงเรียนหนังสือดี แล้วยังแถมโชคดีอีกด้วยที่บรรดาครูบาอาจารย์และเพื่อนๆ จะให้ความไว้วางใจ จนได้รับการคัดเลือกให้ทำหน้าที่หัวหน้าชั้นเรียนมาตั้งแต่อยู่อนุบาล

หน่าเรียนจนจบชั้นประถมจากโรงเรียนหนึ่งมาจนเข้าอีกโรงเรียนหนึ่ง เพราะแม่ย้ายบ้าน หน่าก็ยังได้รับความเมตตาอันนั้นอยู่

หน่าเลื่อนชั้นเรียนมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมีอยู่ปีหนึ่งมีเพื่อนนักเรียนคนหนึ่งเกิดมีปัญหาทางบ้าน ครูบาอาจารย์กับผู้ปกครองหารือแก้ไขกันหลายวิธีก็ยังไม่เป็นผล

ผลสุดท้ายครูใช้วิธีหนึ่งซึ่งตอนแรกแม่เองก็ยังไม่เข้าอกเข้าใจอะไรนักหรอก คือครูใช้วิธีถอดหน่าออกจากตำแหน่งหัวหน้าชั้น แล้วให้เพื่อนคนนั้นเป็นแทนอยู่หนึ่งเทอม

แม่เห็นหน้าหน่าตอนนั้น แม่เข้าใจความรู้สึกของหน่าได้ดี หน่าได้เป็นหัวหน้าชั้นมานาน…นานเสียจน…แม่พอจะเข้าใจความรู้สึกของคนที่เป็นนายกฯ มาตลอดกาลได้

(แม่ขอสัญญาว่าแม่จะพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการเมืองเรื่องนี้เป็นครั้งแรกและสุดท้าย)

ไม่มีใครอธิบายให้แม่ฟัง แต่แม่พอเข้าใจเอาได้ว่าการที่อาจารย์ตัดสินใจกระทำลงไปเช่นนั้นก็เพื่อว่า อาจารย์หวังว่ามันอาจจะไปกระตุ้นความรับผิดชอบในตัวเด็กคนนั้นให้ตื่นตัวขึ้นมาบ้าง มันอาจจะเป็นวิธีสุดท้ายที่อาจารย์เลือก…แต่ก็ไม่ได้ผล

ในระหว่างที่หน่ากำลังเสียความรู้สึก น้อยใจ เสียใจ ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น หน่าอาจจะคิดว่าตัวเองได้รับการลงโทษ ทุกคนคงจะกำลังยุ่งอยู่กับคนที่มีปัญหามากกว่าจนลืมที่จะอธิบายให้หน่าเข้าใจ

แม่คิดอย่างนี้แม่ก็เลยอธิบายให้หน่าฟังเสียเองตามความเข้าใจของแม่ แล้วในเทอมถัดไปหน่าก็ได้กลับเข้าไปทำหน้าที่ดังเดิม

แม่รู้สึกเสียใจแทนเด็กคนนั้นและผู้ปกครองของแก

แม่ยอมรับว่าตอนนั้นแม่สงสารแต่ไม่ได้เสียใจแทนลูก เพราะอย่างน้อยๆ หน่าก็ยังได้บทเรียนในตอนนั้นว่าไม่มีใครเลยที่สามารถได้เป็นหัวหน้าชั้นตลอดกาล

ถ้าจะอธิบายในทางธรรมก็ต้องว่า ทุกอย่างมีเกิดแล้วก็มีดับ ตั้งแต่เรื่องใหญ่…เล็ก…ละเอียดลงเรื่อยๆ จนมาถึงลมหายใจเข้า-ออกของตัวเอง

เหมือนกับแม่และลูก

แม่มองดูลูกโตขึ้นเรื่อยๆ คอยดูและประคับประคอง ให้ความช่วยเหลือหรือแก้ปัญหาให้เมื่อถึงโอกาส

มาบัดนี้ลูกเติบโตขึ้นทั้งทางร่างกาย สติปัญญาและความนึกคิด ในขณะที่พ่อแม่กำลังเริ่มก้าวลง…ทางบันไดอีกด้านหนึ่งที่แม่เคยพูดถึง

แล้วต่อไปลูกก็คงได้ทำหน้าที่เหมือนกับที่ครั้งหนึ่งพ่อและแม่ได้ทำมาแล้ว

มันทำให้แม่นึกถึงพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานในวันเฉลิมพระชนมพรรษาที่ผ่านมา

พระองค์ตรัสถึงกระแสน้ำที่พัดพากอสวะก้อนหนึ่งไกลออกทะเลไปเพื่อที่จะได้มีสวะก้อนอื่นไหลเข้ามาแทนที่

เมื่อถึงตอนนั้น…อย่าลืมคุยกับลูกๆ ของลูกแทนแม่บ้าง