จากมารดา “ธงทอง จันทรางศุ” กับงานเขียน “แม่คุยกับลูก” : หลานสาวสุดสวาท

แม่คุยกับลูก (2)

ย้อนอ่าน (ตอน 1)

วันนี้แม่อยากจะคุยกับลูกถึงเรื่องจุ๊บจิ๊บ หลานสาวสุดสวาทของพวกเราทุกคน

จุ๊บจิ๊บเป็นเด็กน่ารัก ทำบุญมาดี จึงเกิดมาเป็นเด็กหน้าตาสะสวย เกิดมาตอนที่พวกคนแก่กำลังว้าเหว่เพราะขาดหลานเล็กมานาน

แต่ก็เพราะด้วยเหตุนี้นี่แหละแม่กำลังจะบอกว่า มันทำให้เกิดทั้งผลดีและเสียแก่จุ๊บจิ๊บยังไงบ้าง

ตอนจุ๊บจิ๊บเกิดนั้น แม่จำได้ว่าน่าสงสารมาก เพราะถุงน้ำคร่ำของแม่เกิดแตกตั้งแต่ยังไม่ทันคลอด หมอเป็นห่วงว่าจุ๊บจิ๊บจะสำลักน้ำคร่ำ เกรงจะเกิดผลร้ายทางสมองจึงผ่าออกทางหน้าท้อง

หน่า (ธงทอง จันทราศุ) คงยังจำได้ถึงวันที่เราไปเยี่ยมแม่ของเขากับจุ๊บจิ๊บที่ศิริราช จุ๊บจิ๊บนอนคว่ำหน้าอยู่ในเตียงเล็กๆ มีสายระโยงระยาง

ดูเหมือนเขากำลังให้น้ำเกลือหรืออะไรจุ๊บจิ๊บอยู่สักอย่างหนึ่ง มองดูน่าสงสาร แล้วหน้าตาจุ๊บจิ๊บก็เหมือนพ่อของเขายังกับโขกกันออกมา

กลับมาบ้านทุกคนช่วยกันประคบประหงมจุ๊บจิ๊บจนดีวันดีคืนขึ้นทุกที

จุ๊บจิ๊บน่ารัก ใครรับเอาไปก็ไปซบอยู่กับอกไม่แปลกหน้าใคร คุณปู่ของจุ๊บจิ๊บ ตลอดจนย่าๆ อีกหลายคน (คือพวกเรา) โดยเฉพาะย่าจิ๋ว ซึ่งเป็นย่าคนเล็กหลงใหลเป็นพิเศษ

หน่าคงจำได้ว่า ตอนนั้นคุณลุงมักจะเดินทางไปพักที่บ้านเชียงใหม่ทุกๆ เดือน เดือนหนึ่งก็ไปอยู่ประมาณสักหนึ่งอาทิตย์ หรือไม่ก็สิบวันเป็นอย่างมาก

เวลาไปคุณลุงก็หอบเอาคุณป้า น้าจิ๋ว และบริวารอีกสักสี่-ห้าคนนั่งรถตู้ไปพอเต็มหนึ่งคันรถ บางทีก็จะมีพวกเราไปด้วย แล้วแต่ว่าใครพอจะมีเวลาว่างไปกับคุณลุงได้

บ้านที่เชียงใหม่ของคุณลุงแสนจะสวย เป็นบ้านเดี่ยวโดดๆ อยู่ท่ามกลางสวนผัก (ของคนอื่น) ด้านหลังเป็นสวนลำไย แล้วมองไกลออกไปทางด้านเหนือจะเห็นหลังคาวัด โบสถ์โดนแสงแดดดูระยิบระยับ

ไกลออกไปอีกเป็นขุนเขาหลายๆ ลูก ตั้งแต่ด้านทิศเหนือไปจนจรดด้านทิศตะวันออก

เรามักจะพูดกันว่า บ้านของคุณลุงคล้ายบ้านของคุณคาร์ทไรท์ ในหนังทีวีเรื่องโบนันซ่า หนังเรื่องนี้ฉายมานานแล้ว ดูเหมือนตอนนั้นหน่ากับยุ้ยจะยังเรียนไม่จบชั้นประถมกระมัง

แม่จะเล่าว่า ทีนี้พอจุ๊บจิ๊บโตขึ้นอีกหน่อย คงในราวสักสี่เดือนเห็นจะได้ จุ๊บจิ๊บก็เริ่มเป็นสมาชิกในกองคาราวานทัวร์ของคุณปู่จุ๊บจิ๊บโดยมีคุณย่าจิ๋วเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบในตัวจุ๊บจิ๊บระหว่างที่อยู่เชียงใหม่

แม่จำได้ว่ามีอยู่คราวหนึ่งตอนนั้นคุณปู่จุ๊บจิ๊บรวบรวมพลพรรค (อันได้แก่พวกเราคนแก่ทั้งหลาย) ได้สำเร็จ ตอนนั้นคุณลุงจับพวกเราใส่รถ พาไปเที่ยวนอกตัวเมืองเชียงใหม่ที่ไหนสักแห่ง

จุ๊บจิ๊บตอนนั้นได้สักเจ็ด-แปดเดือนเห็นจะได้ แม่จำได้ว่าพวกผู้ใหญ่หยิบเอาคุกกี้ออกมากินเล่นๆ จุ๊บจิ๊บมองตาเป็นมันแล้วก็ทำท่าอยากจะขอมาร่วมวงด้วย

ตอนนั้นจุ๊บจิ๊บมีอาหารหลักเป็นนมและข้าวบดผสมน้ำซุป

ตอนแรกพ่อจุ๊บจิ๊บเอะอะว่าขนมอย่างนี้แข็งเกินไปสำหรับจุ๊บจิ๊บ แต่แม่เห็นว่ามันเป็นคุกกี้ชนิดร่วนก็เลยลองบินิดหนึ่งใส่ปากให้จุ๊บจิ๊บ ปรากฏว่าจุ๊บจิ๊บชอบมาก ทำอาการขออีกไม่หยุดหย่อน ซึ่งเป็นที่ตื่นเต้นดีอกดีใจขอปู่ย่ามากที่มีความรู้สึกว่าจุ๊บจิ๊บโตขึ้นจนทานขนมของผู้ใหญ่ได้แล้ว

หลังจากนั้น จุ๊บจิ๊บก็จะได้ขนมคุกกี้นานาชนิดเป็นของขวัญจากบรรดาญาติผู้ใหญ่ทุกคนที่แวะมาเยี่ยมเยียน

จุ๊บจิ๊บโตวันโตคืนขึ้นทุกที จากคลานเป็นยืน ตั้งไข่แล้วก็เดิน วิ่งทามกลางความชื่นชมของพ่อ-แม่ และปู่-ย่า

แม่ยังจำได้ถึงภาพจุ๊บจิ๊บหัดเต้นระบำไปตามประสาเด็กๆ มีพวกเราช่วยกันร้องเพลง ปรบมือ ให้เข้าจังหวะโดยมีจุ๊บจิ๊บเต้นอยู่กลางอย่างมีความสุข เพลงแล้วเพลงเล่า

วัยของจุ๊บจิ๊บเปรียบเสมือนดอกไม้ที่ค่อยๆ แย้มกลีบดอกออกมาอวดพวกเราทีละกลีบๆ มีแต่ความชื่นบานหอมหวน

ถ้าจะเปรียบวัยของคนก็คงเหมือนกับเรากำลังไต่บันไดขึ้นไป จุ๊บจิ๊บกำลังอยู่แค่ชั้นต้นๆ แล้วก็คงจะต้องก้าวขึ้นไปอีกเรื่อยๆ จนกระทั่งไปยืนอยู่บนขั้นที่สูงที่สุดแล้วไปยืนพักอยู่สักนิดเพื่อที่จะได้ก้าวลงไปบันไดตอนนี้…ต่อไปนี้เป็นตอนที่ต้องก้าวลงไม่ใช่ก้าวขึ้นเหมือนในตอนแรกอีกต่อไปแล้ว

บรรดาพวกเราซึ่งเป็นปู่ย่าของจุ๊บจิ๊บต่างกำลังยืนอยู่บนขั้นบันไดชุดหลังนี้ ไม่มีใครสามารถยืนอยู่กับที่ได้แล้ว เวลาของพวกเราก็คงจะเหลือน้อยลงทุกที

ก็อย่างที่แม่เคยบอก มันไม่ใช่เรื่องของความเศร้า แต่มันเป็นเรื่องของความจริงที่พวกเราทุกคนต่างพยายามทำใจให้ยอมรับ

อย่างน้อยๆ เราก็เคยมีความสุขร่วมกันอยู่ช่วงหนึ่งในทางโลก

ทีนี้แม่จะเล่าถึงเรื่องของจุ๊บจิ๊บต่อ…

ทุกวันนี้…หลังจากคุกกี้ก็เปลี่ยนไปเป็นขนมชนิดอื่น ผลไม้หรือของเล่นชนิดอื่นที่จุ๊บจิ๊บชอบ ซึ่งรายการหลังๆ นี้ผู้ปรนเปรอจุ๊บจิ๊บมักจะเป็นคุณปู่และย่าจิ๋ว ซึ่งเป็นคนอยู่ใกล้ตัวกว่าเพื่อน และก็เป็นผู้ที่ขาดเด็กมานาน

คุณปู่และย่าจิ๋วมักจะชอบออกไปเดินหาซื้อของตามห้างสรรพสินค้า ย่าจิ๋วนั้นออกไปอาทิตย์ละประมาณสองครั้ง ส่วนคุณปู่นั้นออกเกือบทุกวัน เพราะตอนนี้เกษียณราชการมาหลายปีแล้ว

ตามธรรมดาคุณปู่ก็ดี ย่าจิ๋วก็ดีมักจะออกไปคนเดียว แต่ตอนนี้ทั้งสองคนก็เลยมีเพื่อนเที่ยว คือจุ๊บจิ๊บนั่นเอง

จุ๊บจิ๊บนั้นเป็นเด็กผู้หญิงที่เป็นหญิงโดยแท้ คือนอกจากจะมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณผ่องใสแล้ว จุ๊บจิ๊บก็ยังชอบของสวยของงามทุกชนิด

จุ๊บจิ๊บแต่งตัวเป็น ชอบเลือกเสื้อผ้า กระโปรงชุด รองเท้าเอง ตั้งแต่อายุได้สักสองขวบเศษ

เวลาไปดูซื้อของ ถ้าพบเสื้อผ้าถูกใจ จุ๊บจิ๊บจะไม่ยอมถอยจนกว่าจะได้สิ่งที่พอใจ จุ๊บจิ๊บจะเลือกสีเลือกแบบ เข้าไปในห้องลองเสื้อกับคนขาย ถ้าถูกใจจุ๊บจิ๊บก็จะออกมาและกลับบ้านในชุดนั้นโดยไม่ไยดีชุดเก่า

จุ๊บจิ๊บจะเป็นตัวของตัวเองในการเลือกแบบและสีโดยไม่ฟังคำแนะนำจากย่าจิ๋ว ซึ่งทำให้ย่าจิ๋วนำมาเล่าให้ฟังต่อด้วยความภาคภูมิใจ

เมื่อกลับมาถึงบ้าน จุ๊บจิ๊บจะใส่ชุดกระโปรดชนิดไม่ยอมถอดออกจากตัวอยู่สอง-สามวัน ย่าจิ๋วต้องอ้อนวอนขู่แกมปลอบขอให้ถอดเอาไปซักเสียบ้าง

ในที่สุดจุ๊บจิ๊บจะยอมโดยไปเฝ้าอยู่ที่ราวตากผ้าจนกว่าเสื้อชุดนั้นจะแห้ง หรือไม่ ถ้าย่าจิ๋วจะพยายามเบนความสนใจให้ไปทำอะไรอื่นๆ เสียบ้าง จุ๊บจิ๊บจะเฝ้าถามอย่างใจจดใจจ่อว่า เสื้อชุดนั้นแห้งหรือยัง

ถาม…ถามจนกว่าได้กลับมาใส่อยู่กับตัวดังเดิม

จุ๊บจิ๊บมีจุดอ่อนอยู่ที่เสื้อผ้าและรองเท้า จุ๊บจิ๊บจะโปรดปรานรองเท้าสีแดงเป็นพิเศษ จุ๊บจิ๊บอายุแค่สามขวบ จุ๊บจิ๊บก็มีรองเท้าส่วนตัวประมาณยี่สิบคู่เห็นจะได้

ถึงอย่างนั้น บางวันจุ๊บจิ๊บเห็นรองเท้าย่าจิ๋วสวย รู้สึกถูกใจก็จะเดินไปหยิบเอามาใส่ เดินลากอยู่เป็นนานกว่าย่าจิ๋วจะใช้ความพยายามเอากลับคืนไปได้

คุณปู่นั้นรักหลานมาก เวลาพาหลานไปซื้อของ หลานก็จะได้ทุกอย่างที่ต้องการเพราะจุ๊บจิ๊บไปเที่ยวบอกพนักงานที่ขายว่า “จุ๊บจิ๊บรักคุณปู่ค่ะ คุณปู่ก็รักจุ๊บจิ๊บนะคะ” คุณปู่จึงปลื้มมาก เก็บเอามาเล่าให้ใครต่อใครฟังอยู่อีกนาน

คุณปู่กับย่าจิ๋วนั้นตอนนี้กำลังเป็นคนว้าเหว่ คุณปู่ว้าเหว่เพราะคุณย่าป่วย เจ็บเรื้อรังมานานหลายปีเปรียบเสมือนคนทุพพลภาพ มีสุขมีทุกข์ก็ไม่สามารถจะถ่ายทอดเล่าสู่กันฟังได้เหมือนเดิม

ข้างย่าจิ๋วนั้นเล่า (เกือบลืมบอกไปว่าย่าจิ๋วนั้นเป็นน้องคนเล็กของคุณปู่นั่นเอง) ก็เป็นลูกคนสุดท้องที่มีพี่ๆ หลายคนซึ่งรักและตามใจย่าจิ๋วมาทุกคน เพราะเห็นว่าเป็นน้องสุดท้อง ตามใจจนบางครั้งทำให้ย่าจิ๋วลืมไป เข้าใจผิดคิดว่าพี่ๆ ทุกคนนั้นความจริงเป็นน้องของย่าจิ๋วต่างหาก ย่าจิ๋วก็เลยลงมือเอ็ดพี่ๆ ทุกคนที่ย่าจิ๋วคิดว่า “คิด” และทำอะไรที่ไม่เข้าท่าในสายตาของย่าจิ๋ว

เวลาที่ย่าจิ๋วลงมือเอ็ดพี่ๆ นั้นย่านิดซึ่งเป็นพี่ถัดย่าจิ๋วขึ้นไปอีกทีหนึ่งมักกระซิบบอกพี่ๆ ว่าเราต้องทำอะไรผิด “ล็อก” ของย่าจิ่วไปอีกแล้ว

ย่านิดนั้นความจริงเป็นพี่ที่อยู่ติดกัน เล่นมาด้วยกัน ย่าจิ๋วรักมากกว่าเพื่อน เลยถูกเอ็ดมากกว่าเพื่อนด้วยความที่ไม่ได้ตั้งใจ เผลอๆ ย่าจิ๋วคิดว่าย่านิดเป็นลูกด้วยซ้ำไป

แม่มานึกๆ ดูว่า คุณยายนั้นมีลูกหลายคน สมัยก่อนนั้นยังไม่มีการคุมกำเนิดก็จำต้องปล่อยให้มีกันไปจนกว่ามดลูกจะหมดสมรรถภาพ

ดังนั้น เมื่อคุณยายมีลูกตั้งแปดคน แถมยังแท้งบ้างตายบ้างไปอีกสี่คน รวมเป็นโหลหนึ่งพอดี เพราะฉะนั้น ความแตกต่างระหว่างอายุลูกคนหัวปีกับคนสุดท้องจึงเว้นจากกันถึงสิบเก้าปี

พูดง่ายๆ ก็คือ ย่าจิ๋วนั้นเป็นลูกของคุณย่าศรีได้อย่างสบาย (คุณย่าศรีที่ถูกย่าจิ๋วเอ็ดอยู่บ่อยๆ นั้นแหละ)

ดังนั้น ตอนที่ย่าจิ๋วเกิด แม่ก็คิดว่าคงมีอาการไม่แตกต่างกับตอนที่จุ๊บจิ๊บเกิดมาดูโลกสักเท่าไหร่

ยิ่งย่าจิ๋วเป็นเด็กน่ารัก ผิวพรรณขาว อ้วนท้วน หน้าตาสะสวยขนาดประกวดเด็กยังได้รางวัลที่หนึ่งในตอนนั้น ทำให้พวกเราชื่นชมกันมาก และก็ยังพากันพูดถึงอยู่อีกแม้กระทั่งในปีที่ย่าจิ๋วอายุครบห้าสิบสองในปีนี้

ดูเอาเถอะ! แม่ว่าจะพูดถึงเรื่องธรรม พอพูดถึงความหลังเรื่องเก่าๆ ในอดีตก็ลอยขึ้นมาเป็นแพ

พระท่านบอกว่าให้ทิ้งอดีตเสีย มองแต่ปัจจุบัน แล้วก็อย่าไปเป็นกังวลกับอนาคต

แต่ถ้าแม่พูดถึงแต่ธรรมล้วนๆ หน่ากับยุ้ยก็คงจะเบื่อเสียก่อนที่จะคุยกันจบ

แแม่จะวกมาพูดถึงน้าจิ๋วอีกนิดหนึ่งว่า ตอนนี้พี่ๆ ต่างก็มีครอบครัวของตัวเอง มีภาระหน้าที่เพิ่มขึ้นจนไม่มีเวลาจะให้กับน้าจิ๋วเหมือนแต่ก่อน

ตอนแรก คุณตาคุณยายยังอยู่ น้าจิ๋วก็อาจจะยังไม่รู้สึก มาภายหลังเมื่อสิ้นท่านไปแล้ว น้าจิ๋วเริ่มรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดาย ยังเคราะห์ดีที่หันมาเอาธรรมเป็นที่พึ่ง แต่น้าจิ๋วก็ถูกตามใจมามากเสียแล้ว

ดังนั้น น้าจิ๋วจึงต้องต่อสู้กับตัวเองอย่างหนัก บางครั้งก็แพ้บ้าง บางครั้งก็ชนะบ้างไปตามเรื่อง

แต่น้าจิ๋วก็ยังมีอะไรดีๆ ในตัวอีกหลายอย่าง

เป็นต้นว่า การเสียสละทรัพย์สินเงินทองในการช่วยเหลือผู้อื่นที่ตกทุกข์ได้ยาก ช่วยอุปการะหลานที่ยากจน

บริจาคเงินบำรุงวัดและสงฆ์โดยสม่ำเสมอ พยายามทำสมาธิ, อ่านและฟังเทปธรรมของหลวงปู่หลวงพ่ออยู่เป็นประจำ

แม่จะกลับมาที่เรื่องของจุ๊บจิ๊บอีกครั้งหนึ่งว่า ตอนนี้คุณปู่และพ่อแม่ของจุ๊บจิ๊บตกลงกันว่า จะส่งจุ๊บจิ๊บไปเข้าโรงเรียนอนุบาลในปีการศึกษาหน้าที่กำลังจะมาถึงนี้

เราทุกคนมาช่วยกันเป็นกำลังใจให้จุ๊บจิ๊บกันดีกว่า แม่หวังว่าครูคงจะพอสอนให้จุ๊บจิ๊บได้รู้จักกับกฎระเบียบใหม่ๆ

การเข้ากับเพื่อนๆ การช่วยตัวเอง และอะไรอีกหลายอย่างที่จุ๊บจิ๊บยังไม่เคยรู้จัก

ผ้าขาวผืนน้อยๆ ผืนนี้ยังจะต้องผจญกับโลกไปอีกนานแสนนานถึงจะต้องแต่งแต้มอะไรไปบ้าง…เหมือนหน่า…เหมือนยุ้ย…เหมือนน้าจิ๋ว…เหมือนแม่

ก็ขอให้บุญกุศลที่เราย่าๆ ทั้งหลายได้ทำมาขอให้จุ๊บจิ๊บได้รู้คิด

ได้มีสติที่จะได้มานั่งซักผ้าผืนนี้ของจุ๊บจิ๊บเองเหมือนกับที่ย่าทั้งหลายกำลังนั่งทำอยู่…เมื่อถึงเวลา