ชุนเทียน | ปักกิ่งไม่อิงนิยาย

กลางปีพ.ศ. 2550  ผมมีโอกาสไปเดินเล่นอยู่บนถนนฉางอันหน้าจตุรัสเทียนอันเหมิน พักอาศัยอยู่ที่คอนโดย่านปาเป่าซานชานกรุงปักกิ่ง ที่นั่นใกล้กับสถานนีวิทยุแห่งชาติจีนที่ผมทำงานอยู่ เรียกว่าเดินไปทำงานได้สะดวกสบาย ใต้คอนโดที่ผมพักอาศัยมีห้างสรรพสินค้าสองชั้นเล็กๆไว้ให้คนแถวนั้นได้จับจ่ายใช้สอย ตัวผมเองก็อาศัยห้างแห่งนี้ซื้ออาหารและสิ่งของจำเป็นเรียกว่าเดินเข้าเดินออกห้างใต้คอนโดเป็นประจำ และผมได้รู้จักกับชุนเทียนที่ห้างแห่งนั้นนั่นเอง

ชุนเทียนเป็นสาวหมวยร่างบาง ผิวขาวออกจะซีดเสียดั้วยซ้ำแต่ในความขาวซีดผมสังเกตเห็นสีแดงเรื่ออมชมพูจางๆภายใต้ผิวพรรณของเธอ เส้นผมสีดำของเธอยาวสยายลงมาถึงกลางแผ่นหลัง และเธอมักจะใช้ยางยืดสีดำรวบไว้เสมอ ที่สำคัญดวงหน้าของชุนเทียนไร้เครื่องสำอางมาประทิน ใบหน้ารูปไข่ผุดผาดเป็นที่สะดุดตาทำให้ผมเดินตรงไปหาเธอเมื่อเลือกซื้อสินค้าเสร็จสรรพ ใช่ครับ ชุนเทียนเป็นแคชเชียร์ประจำห้างใต้คอนโดที่ผมพักอาศัย

เวลาที่ผมเข้าไปซื้อสินค้าที่ห้างใต้คอนโดทีไรและถ้าพบชุนเทียนยืนอยู่ที่เครื่องแคชเชียร์ ผมจะเลือกเข้าไปใช้บริการคิดเงินค่าสินค้ากับเธอ ตัวผมเองบอกไม่ถูกว่าทำไมหรือเพราะอะไร แต่ช่างเถอะ เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลหรือคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์ให้เสียเวลา เอาเป็นว่า ผมรู้สึกต้องตากับเธอ และชุนเทียนเองก็ดูแลผมเป็นอย่างดี เธอรู้ว่าผมเป็นชาวต่างชาติต่างถิ่น ความจริงเราพูดคุยกันแทบไม่รู้เรื่องได้แต่อาศัยภาษามือ สีหน้า ท่าทางและรอยยิ้มในการสื่อความหมายกัน

ด้วยความที่ผมเป็นลูกค้าประจำเครื่องแคชเชียร์ของเธอ ชุนเทียนจึงจำผมได้และผมเคยพูดกับเธอเป็นภาษาจีนอย่างกระท่อนกระแท่นว่า “ผมไม่ใช่คนจีน เป็นคนไทย และพูดจีนไม่เป็น” เธอจึงดูมีน้ำใจและให้ความช่วยเหลือผมเป็นอย่างดี ทั้งเรื่องหยิบจับสินค้าใส่ถุงพลาสติก เงินทอนไม่เคยขาดหาย และแนะนำการใช้สินค้าด้วยภาษามือ ซึ่งผมเองรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างได้แต่กล่าวขอบคุณเธอเป็นภาษาจีนพร้อมกับยิ้มจางๆ ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าชุนเทียนจะเข้าใจหรือไม่ แต่ผมชอบดวงหน้าท่าทางที่พยายามสื่อสารอธิบาย และดวงตาที่ใสซื่อจริงใจของเธอ เพราะนั้นคือความมีน้ำใจที่คนไกลบ้านอย่างผมได้รับจากเจ้าบ้านคนหนึ่ง เป็นความซาบซึ้งใจที่เพื่อนมนุษย์พึงมีต่อกันแม้อาจเป็นเพียงเรื่องเล็กๆน้อยๆของคนเล็กๆที่เกิดขึ้นในมุมหนึ่งมุมใดของโลกใบนี้ แต่นั่นแหละเรื่องเล็กๆของคนตัวเล็กๆอย่างชุนเทียนสามารถก่อเกิดมิตรภาพที่ยิ่งใหญ่ได้เช่นกัน

วันคริสต์มาสของปีนี้อากาศหนาวติดลบแต่หิมะยังไม่ตก เพื่อนที่ทำงานบอกว่าปีนี้หิมะมาเยือนปักกิ่งช้ากว่าทุกปี หนุ่มสาวชาวเมืองหลวงหลายคนมีนัดกินเลี้ยงกันในวันนี้ ปักกิ่ง ณ วันนี้เปิดรับวัฒนธรรมต่างชาติอย่างเต็มตัว ผมเองใส่เสื้อขนเป็ดเดินฝ่าความหนาวเย็นมาทำงานตามปกติ คริสต์มาสและปีใหม่สำหรับผมเป็นเรื่องของการทำงานล้วนๆไม่ได้กลับไปเยี่ยมครอบครัวที่แผ่นดินเกิดตั้งใจว่าหลังปีใหม่จะขอลากลับบ้านสักสองสามอาทิตย์ตามวันหยุดที่ได้สะสมมา เย็นนี้ผมแวะซื้ออาหารและของใช้ที่ห้างใต้คอนโดตามปกติ และชุนเทียนยืนประจำเครื่องแคชเชียร์ของเธอ ผมกล่าวทักทาย เธอยิ้มตอบและกล่าวสวัสดีเช่นกัน แต่ก่อนที่จะเดินออกไปผมหยิบช็อกโกแลตที่ซื้อมาส่งให้เธอ

“แมรี่คริสต์มาส” ผมว่า ชุนเทียนมองอย่างงงๆ ไม่เชื่อสายตา แต่ดวงหน้าสีขาวซีดกลับมีสีแดงจางๆ ผมพูดซ้ำอีกครั้งและทำท่ายื่นช็อกโกแลตให้เธอ ชุนเทียนรับมาและกล่าวขอบคุณเป็นภาษาจีน ผมยิ้มและเดินจากไป ตัวผมเองไม่ได้คิดอะไรมากมายเพียงแค่อยากมอบของขวัญให้กับเพื่อนหรือคนรู้จักในวันสำคัญตามเทศกาลบ้างก็เท่านั้น

ไม่กี่วันหลังจากนั้นหิมะก็ตก ปักกิ่งขาวโพลนไปด้วยเกร็ดน้ำแข็งที่ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า ผมเดินได้ช้าลงเพราะกลัวลื่นหกล้ม ยิ่งใกล้ปีใหม่ยิ่งรู้สึกเงียบเหงา เพื่อนที่ทำงานบางคนลาหยุด ผู้คนบนท้องถนนดูบางตา แต่เพื่อนๆชาวจีนบอกว่าช่วงตรุษจีนเมืองหลวงจะดูเงียบมากกว่าปีใหม่สากลเสียอีก วันนี้เป็นวันอาทิตย์ หลังจากทำกิจวัตรต่างๆเสร็จ ช่วงบ่ายๆเย็นๆตั้งใจจะไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับคอนโด ไปถ่ายภาพหิมะขาวโพลนในสวนและวิ่งออกกำลังกายบ้างตามประสา

เย็นย่ำ พระอาทิตย์ใกล้ลาลับ หิมะสีขาวบางตายังตกลงมาไม่ขาดสาย ผมเดินข้ามถนนจากฝั่งสวนสาธารณะจะกลับคอนโด ได้เดิน ได้วิ่ง ได้นั่งเล่นแก้เหงา และถ่ายภาพหิมะในสวนกลับไปฝากคนที่บ้าน ขณะกำลังจะข้ามถนนไปกลับยังคอนโดซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ผมเห็นชุนเทียนยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ใกล้ๆกับทางม้าลายที่ผมยืนอยู่ ผมไม่แน่ใจว่าเธอเห็นผมหรือเปล่า ใจหนึ่งคิดว่าจะข้ามถนนกลับที่พัก แต่ขาเจ้ากรรมกลับเดินตรงไปยังป้ายรถเมล์ ตั้งแต่อยู่ที่นี่มาครึ่งปีผมกับชุนเทียนเพิ่งเคยพบกันนอกห้างสรรพสินค้าก็คราวนี้ ไปทักทายคนรู้จักสักหน่อยจะเป็นไรไป ผมคิดในใจ

ผมเดินเข้าไปทักทายเธอ ชุนเทียนท่าทางแปลกใจแต่ยิ้มออกมา ผมชี้ไปที่คอนโดฝั่งตรงข้ามบอกเธอด้วยท่าทางว่าผมอยู่ที่นั่นและไปวิ่งที่สวนสาธารณะมา เธอยิ้มและพยักหน้าดูเหมือนจะเข้าใจ เราต่างเงียบกัน ยืนมองหิมะตก แต่แล้วเธอพูดขึ้นเป็นภาษาจีนช้า ซึ่งผมเข้าใจความหมายได้ว่า

“ฉันชื่อ ชุนเทียน คุณชื่ออะไรค่ะ”

“ชุนเทียน” ผมทวนคำ เธอพยักหน้า ผมบอกชื่อผมไป ชุนเทียนพูดช้าๆ “ฉาน-ต้า-หลง” ผมยิ้มและทวนคำ “ฉานต้าหลง” ชื่อเพราะทีเดียว ผมนึกในใจ อยากจะพูดออกไปแต่จนใจเพราะพูดจีนไม่เป็น ผมถามเธอต่อว่า เธอมาจากที่ไหน มันเป็นประโยคภาษาจีนพื้นๆที่ผมพอจะนึกออก

“หูเป่ย” ชุนเทียนว่า สักพักเธอเปิดกระเป๋าถือออกมาและยื่นภาพถ่ายให้ดู เป็นภาพถ่ายครอบครัวซึ่งมีกันอยู่หลายคน ผู้เฒ่าชายหญิงนั่งอยู่ตรงกลาง ผู้ใหญ่ชายหญิงยืนอยู่ด้านหลังและเด็กโตเด็กเล็กสี่ห้าคนนั่งกับพื้นหน้าผู้เฒ่า ฉากหลังเป็นบ้านที่ก่อด้วยอิฐทรงจีนโบราณชั้นเดียว เด็กโตเป็นผู้หญิงน่าจะเป็นชุนเทียน แต่ตอนนั้นผมของเธอสั่นกว่านี้

“ครอบครัวของเธอหรือ น่ารักมาก” ผมพูดเป็นภาษาอังกฤษ ชุนเทียนทำท่างง ผมเลยชี้ไปที่รูปและชูนิ้วโป้งพูดเป็นภาษาจีนว่า “ดีๆ สวยมาก” เธอจึงยิ้มออกมา เงียบกันไป

ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อ  คิดจะหยิบรูปครอบครัวของผมมาให้เธอดูบ้างก็พอดีรถโดยสารประจำทางมาจอดเทียบป้าย ชุนเทียนชี้ไปที่รถและโบกมือลา ผมยิ้มและโบกมือลา

หลังจากวันนั้นผมพบชุนเทียนที่เครื่องแคชเชียร์ของห้างใตคอนโดตามปกติ แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งหลังปีใหม่ปลายเดือนมกราคม ผมมาซื้อสินค้าที่ห้าง ชุนเทียนพูดอะไรบางอย่างกับผมแต่ผมฟังไม่รู้เรื่อง คำสุดท้ายเธอพูดเป็นภาษาอังกฤษ “บ๊าย บาย” เวลานั้นผมเองไม่ได้เอะใจอะไรเลยว่านั่นคือการกล่าวคำอำลา

ปลายเดือนมกราคม ผมลางานกลับไปเยี่ยมบ้านสามสัปดาห์และกลับมาทำงานใช้ชีวิตที่ปักกิ่งอีกครั้ง แต่คราวนี้ที่ห้างสรรพสินค้าใต้คอนโดที่ผมพักอาศัยไม่มีชุนเทียน แรกๆผมไม่ได้คิดอะไร คิดว่าเป็นอาจวันหยุดหรือลาพักยาว แต่เมื่อเวลาผ่านไปผมเริ่มแน่ใจแล้วว่า เธอได้จากไปแล้ว ผมเองจนใจที่จะหาคำตอบว่า เธอไปไหน เพราะอะไรหรืออย่างไร มันเป็นเรื่องของชีวิต เรื่องของหนทางของคนเล็กๆอย่างเราที่ต้องก้าวเดินไปตามทางของแต่ละคน ค้นหา ต่อสู้ และฟันฝ่าไปตามวิถีของเราเอง

ผมเคยคุยกับเพื่อนที่ทำงานถึงเรื่องของคนต่างเมืองต่างมณฑลที่เข้ามาทำงานหาเงินในปักกิ่ง คำตอบที่ได้ไม่ต่างกับแรงงานข้ามชาติที่เข้ามาหากินในเมืองไทยหรือคนต่างจังหวัดเข้ามาหาความหมายในกรุงเทพฯ สังคมชนบทที่ขาดความเจริญ สภาพแวดล้อมที่แล้งเข็ญ การเกษตรที่ถูกอุตสากรรมรุกล้ำทำให้คนหนุ่มสาวทะลักเข้ามาหางานทำ มาเป็นเป็นแรงงาน หรือเข้ามาเรียนหนังสือในเขตเมืองอย่างปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ ชุนเทียนคงเป็นหนึ่งในนั้น

“แล้ว ชุนเทียน แปลว่าอะไรครับ” ผมถามคุณจาง เพื่อนที่ทำงานในวันหนึ่ง คุณจางมองหน้าเหมือนอยากจะรู้ว่าผมถามทำไมก่อนตอบ

“ฤดูใบไม้ผลิครับ หมดหน้าหนาวในเดือนมีนาคมจะเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิช่วงสั้นๆในเดือนเมษายน เสมือนเป็นการเริ่มต้นใหม่ของทุกชีวิตครับ พอเดือนพฤษภาคมก็เข้าหน้าร้อน” คุณจางว่า

ชุนเทียน ยังไม่ทันเข้าฤดูใบไม้ผลิเธอก็จากไปเสียแล้ว ไม่มีโอกาสได้ร่ำลา แต่ช่างเถอะ เธออาจจะกลับไปอยู่กับครอบครัวที่บ้านเกิด ไปเป็นแคชเชียร์อยู่ที่ห้างสรรรพสินค้าแห่งใดแห่งหนึ่ง หรือทำงานอะไรก็แล้วแต่ อาจได้เรียนหนังสือ ได้สามีที่ดีและมีลูกน่ารัก หรืออะไรก็ตามแต่ เพื่อนคนนี้ขอให้เธอได้เริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างมีความสุขและมีความหวัง    สักวันที่โชคชะตาและวันเวลาของเราได้มาบรรจบกันอีกครั้ง เราคงมีโอกาสได้พบกันดังฝุ่นผงที่ถูกสายลมพัดพาให้ล่องลอยไปในนภากาศ ลอยไปๆอย่างไร้จุดหมาย