ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 13 - 19 ตุลาคม 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
ได้แรงบันดาลใจมาจากการเขียนเอาไว้ในโลกเสมือน
แล้วมีมิตรสหายหลายท่านมาแสดงความเห็นที่เหมือนช่วยแต่งเกลาให้เข้าท่ายิ่งขึ้น
จึงขออนุญาตตกแต่งแล้วนำขายต่อ
ดังนี้
ใครไม่เชื่อว่าสังคมไทยเป็นสังคมคนชรา ก็ให้เริ่มเชื่อได้แล้วนะครับ
ไม่ใช่แค่เพราะว่าตัวเลขสถิติประชากรบอกเราว่า อีก 6-7 ปี เราจะมีผู้มีอายุสูงกว่า 60 ปีมากกว่าร้อยละ 20 ของประเทศ
แต่เพราะพฤติกรรมของเราเองด้วย
ที่ดูเหมือนจะนำหน้าความชรากว่าใครเพื่อน ก็คือ คสช. รัฐบาล และคณะพรรคแม่น้ำ 4 สาย 5 สายของท่าน
ดูจากร่างรัฐธรรมนูญและกำหนดเลือกตั้งใหม่ของท่านเป็นหลัก
ตอนที่เข้ามาใหม่ๆ ท่านแต่ง ร้อง ผลักดันให้คนทั้งประเทศช่วยกันร้องเพลงว่า
“เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน”
ไม่นานของท่านวันนี้ก็ผ่านไปแล้ว 3 ปีกว่าๆ
ปีหน้าจึงจะประกาศว่าจะเลือกตั้งเมื่อไหร่
ถ้ารวมว่าประกาศแล้วนับไปอีก 150 วัน
ท่านก็อยู่ในอำนาจร่วม 5 ปี
5 ปีนี่สำหรับคนอายุ 70-80 อาจจะเป็นส่วนเสี้ยวน้อยนิด
แต่สำหรับคนรุ่นใหม่ ที่เดี๋ยวนี้เขานับการเปลี่ยนแปลงกันเป็นวินาที
5 ปีนี่เป็นเวลาอันยาวนานเหมือนอนันตกาล
วิธีการทำงานก็สะท้อนความแก่
ถ้ารัฐธรรมนูญฉบับเดียวยังใช้เวลาร่างตั้ง 5 ปี
(โดยไม่รู้ว่าจะดีหรือเปล่า หรือจะใช้ได้นานเท่าไหร่)
5 ปีทำงานชิ้นไหนชิ้นหนึ่งนี่ถือว่านานมากนะครับ
จะอ้างว่า รัฐธรรมนูญเป็นกติกาสำคัญของประเทศ ต้องร่างกันอย่างพิถีพิถัน
แต่อีตอนลงมือฉีกรัฐธรรมนูญกันนั้นใช้เวลาแค่กะพริบตา
ไม่เคยนึกเลยว่า ของที่ตัวเองเพิ่งฉีกลงไปกับมือ ประกอบขึ้นด้วยความตั้งใจหรือความพิถีพิถันของคนในอดีตอีกเท่าไหร่
มีแต่คนแก่เอาแต่ใจตัวเอง (เพราะรู้สึกว่าเจ๋งกว่า ผ่านโลกมานานกว่า) เท่านั้นละครับ
ที่จะปฏิบัติอย่างนี้ได้
วิธีคิดยิ่งแก่
เพราะเกือบทุกอย่าง เกือบทั้งหมดที่ท่านทำๆ กันมา
เหมือนฉุดดึงประเทศไทยให้ถอยหลังกลับไป 50-60 ปี กลับไปยุคที่ท่านยังเป็นหนุ่มกระชุ่มกระชวย
ไหนจะรัฐธรรมนูญคนดี ที่ตั้งใจออกมา “ล้างอำนาจชาวบ้าน” (ซึ่งเป็นของเกิดใหม่ ประมาณว่าหลัง 2516 หลัง 2535 หรือหลัง 2553)
ยุคสมัยของเรา (คือคนร่างหรือคนสั่งให้ร่าง) นั้น คนดีผู้ดีเสียงดังกว่า
ชาวบ้านธรรมดาแค่ไพร่ แค่ผู้มารอรับส่วนบุญ
ไหนจะกฎหมายอีกเป็นร้อยฉบับที่ผ่านออกมา
กว่าครึ่งนั้นเป็นการเพิ่มอำนาจให้กับหน่วยราชการหรือองค์กรอิสระ
ซึ่งก็แปลว่าลดอำนาจชาวบ้านอีกนั่นแหละ
การถ่ายโอนอำนาจจากชาวบ้าน กลับไปสู่กลุ่มผู้ดี๊ผู้ดีจำนวนน้อย และหน่วยราชการที่เทอะทะล้าหลัง
คือวิธีคิดของคนแก่ คนรู้ดีกว่า คนมีอะไรเหนือกว่าคนธรรมดาโดยแท้
ท้ายที่สุด
สมาชิกในสังคมไทยส่วนใหญ่-อันได้แก่เราๆ ท่านๆ ก็พลอยทำตัวเหมือนคนแก่ไปด้วย
คือเห็นอะไรเกิดขึ้นก็ปลงๆ
บางหนก็เผลอร้องว่า-ตถตา
มันเป็นของมันอย่างนั้นเอง
คือถ้ามีรัฐประหาร มีทหารเข้ามาปกครอง เรื่องก็ต้องเป็นอย่างนี้
เผลอๆ อาจจะคิดต่อไปแล้วด้วยว่า
อีกเดี๋ยวเถอะน่า ถ้าห่วยมาก ขวางโลกมาก
ที่เห็นว่าใหญ่ๆ อยู่วันนี้ก็อาจจะล้มครืนไปต่อหน้าต่อตา
เหมือนที่เคยมีตัวอย่างให้เห็นมาแล้วในอดีต
ก็เลยไม่ค่อยมีใครลุกขึ้นวิพากษ์วิจารณ์ คัดง้างอะไร
(จริงๆ นะมีน่ะครับ ไม่ใช่ไม่มี แต่ที่ลุกขึ้นมานั้นเป็นส่วนน้อยของส่วนน้อย แถมบางคนลุกขึ้นมาปุ๊บ ก็ถูกจับยัดเข้าไปอยู่ในที่ซึ่งไม่สามารถส่งเสียงหรือสื่อสารกับคนอื่นปั๊บ)
ในฐานะที่เห็นมาเยอะ เจอมาแยะ
น้ำเชี่ยวอย่าเพิ่งขวางเรือเลย
ตถตา
ความชราจึงมาเยือนสังคมของเราด้วยประการฉะนี้
ส่วนว่าชราแล้ว จะไปแข่งกับโลกเขาได้ไหม
จะปรับตัวสู้กับเขาไหวไหม
จะถูกทิ้งไปไกลแค่ไหน
อันนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เพราะคนชราไม่ค่อยคิดถึงอนาคตเท่าไหร่
(คิดทีก็ไกลไปตั้ง 20 ปี ไม่รู้ว่าที่คิดจะเป็นจริงได้กี่ส่วนกี่เสี้ยว)
แต่คิดถึงอดีต (ที่มีอยู่เยอะ) มากกว่า
เมื่อคิดถึงอดีตมาก เวลาทำอะไรหรือมีอำนาจจะทำอะไร ก็ออกไปในแนว nostalgia หรือโหยหาอดีต (อันงดงามในความคิดของตัวเอง) เป็นหลัก
เอวัง