งามไส้ ตำรวจรับแล้วเรียกเงินกลุ่มนักท่องเที่ยวสาวไต้หวันจริง! ชูวิทย์ เผยมีหลักฐานเด็ด!

งามไส้ ตำรวจ สน.ห้วยขวาง รับแล้วเรียกเงินกลุ่มนักท่องเที่ยวสาวไต้หวันจริง

วันที่30ม.ค66 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีการประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ดำรงตำแหน่งระดับ สว. และรองผกก. ในสังกัด สง.ผบ.ตร. ซึ่งภายหลังจากประชุมผู้บังคับบัญชาได้มีการหารือในกรณีสาวไต้หวันถูกรีดเงิน 27,000 บาท ขณะถูกเรียกตรวจที่จุดสกัดบริเวณหน้าสถานเอกอัครราชทูตจีนพื้นที่สน.ห้วยขวาง โดยมีรายงานในการพูดคุยยืนยันว่า ทางตำรวจที่ตั้งด่านสกัดในวันนั้นมีการเรียกรับผลประโยชน์เป็นเงินสด จำนวน 27,000 บาท เพื่อแลกกับการไม่ดำเนินคดีโดยกล่าวหานักท่องเที่ยวว่ามีความผิด ซึ่งการจ่ายเงินครั้งนี้จะมีเพื่อนชายชาวสิงคโปร์เป็นคนจ่ายเงินให้กับตำรวจ

ทั้งนี้จากการสอบสวนปากคำอย่างละเอียดของตำรวจแต่ละนายทำให้มีผู้ยอมรับสารภาพว่าในวันดังกล่าวมีการเรียกเก็บเงินจริง และมีการแบ่งเงินกันที่บริเวณด่านในคืนเกิดเหตุ จากนั้นเมื่อปรากฎเป็นข่าวทางกลุ่มชุดตำรวจในวันนั้นพยายามปกปิดข้อมูล และไม่ยอมรับในช่วงแรก เนื่องจากเห็นว่าผู้เสียหายเป็นคนต่างชาติ และไม่มีการแจ้งความดำเนินคดี อย่างไรก็ตามจะต้องมีการดำเนินคดีอาญากับตำรวจชุดที่ตั้งด่านสกัดอย่างแน่นอน ขณะที่ความผิดทางวินัยมีโทษถึงขั้นไล่ออก ส่วนผู้บังคับบัญชาระดับสถานีตำรวจจะมีความเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการของกองบัญชาการตำรวจนครบาลที่ตั้งขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริง นอกจากนี้จะต้องไปสอบสวนผู้เสียหายเพิ่มรวบรวมหลักฐานให้ครบถ้วนในการเอาผิดกับผู้ที่ก่อเหตุ

อย่างไรก็ตามทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติสั่งการให้กองบัญชาการตำรวจนครบาลให้ตรวจสอบประวัติชุดจับกุมทั้งหมดว่าก่อนหน้านี้เคยก่อเหตุลักษณะเดียวกันมากน้อยเพียงใด เนื่องจากมีประชาชนแจ้งข้อมูลร้องเรียนว่าเคยโดนชุดดังกล่าวกระทำการในลักษณะเดียวกัน

โดยมีการออกแถลงการณ์ดังนี้

  • ตามที่มีกระแสข่าวข้าราชการตำรวจสถานีตำรวจนครบาลห้วยขวางเรียกเงินนักท่องเที่ยวชาวไต้หวันนั้น ทาง บช.น. ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยได้ดำเนินการให้รวบรวมพยานหลักฐาน สอบพยานบุคคล พยานวัตถุ กล้องวงจรปิดต่างๆ เพื่อเป็นข้อมูลให้ได้มากที่สุด ซึ่งในขณะนี้การรวบรวมพยานหลักฐานเบื้องต้นข้อเท็จจริงปรากฏว่า มีการตั้งจุดตรวจบริเวณหน้าสถานทูตจีนจริง และปรากฏภาพนักท่องเที่ยวมีการครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าหรือบารากู่ไฟฟ้า ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีแหล่งกำเนิดหรือผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศและไม่ได้ผ่านโดยไม่ได้ผ่านพิธีการศุลกากรซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 242, 246 แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจในขณะปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งพบเห็นวัตถุดังกล่าวที่มีลักษณะเป็นบุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้ตรวจยึดเป็นของกลางเพื่อส่งตรวจสอบและดำเนินคดีตามกฎหมาย แต่ให้นักท่องเที่ยวที่ครอบครองออกเดินทางจากจุดตรวจดังกล่าวไปเพราะวัตถุต้องสงสัย ซึ่งกรณีนี้เบื้องต้นเข้าข่าย ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ซึ่งทางกองบัญชาการตำรวจนครบาลได้ตรวจสอบรวบรวมพยานหลักฐานแล้ว ให้ดำเนินการทั้งวินัยและอาญาอย่างเด็ดขาดแล้ว
  • ส่วนประเด็นการรีดเงินนักท่องเที่ยว และกระแสข่าวบางแห่งออกมายืนยันว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจรับว่ามีการเรียกเงิน โดยมีบุคคลยืนยันว่าเป็นผู้ให้เงินเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น ทางกองบัญชาการตำรวจนครบาลขอยืนยันว่าในประเด็นดังกล่าว เราติดตามและให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องตลอดมา แต่ขณะนี้ อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานที่ชัดเจน ทั้งพยานบุคคล พยานเอกสาร  บันทึกรับสารภาพ จำนวนเงินแน่นอน ที่ระบุ รวมถึงคำรับของเจ้าพนักงานตำรวจมาให้การรับสารภาพ เพื่อใช้ดำเนินคดีรวบรวมพยานหลักฐาน และตามที่มีกระแสข่าวนั้น  ขณะนี้มีแนวทางการสืบสวนที่สอดคล้องกับกระแสข่าวดังกล่าวอยู่แล้ว และอยู่ระหว่างติดตามพยานมาให้การยืนยันการกระทำความผิดและจำนวนเงินที่ส่งมอบดังกล่าว ว่าใครเป็นผู้มอบสินบนให้เจ้าพนักงาน เพื่อปล่อยตัวนักท่องเที่ยว  และเจ้าพนักงานคนใดเป็นผู้รับสินบน  แต่จะต้องมีแนวทางการสืบสวนสอบสวนให้ชัดเจน เพราะข้อมูลบางอย่างยังไม่ตรงกัน จึงต้องระมัดระวัง และจะแจ้งข้อมูลที่ชัดเจนให้ทราบต่อไป
  • ทั้งนี้ หากพยานหลักฐานชัดเจนก็จะดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดไม่มีการละเว้น ไม่ว่าฝ่ายใด ทาง บช.น. ต้องขอโทษมายังประชาชนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้กระทำการให้เป็นไปตามระเบียบและกฎหมายอย่างเคร่งครัด ทำให้เกิดผลกระทบต่อส่วนรวม ซึ่งทาง บช.น. จะรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการ ในโอกาสต่อไป

ด้านนายชูวิทย์ เตรียมแฉต่อ หาก