“คาราบาวกรุ๊ป” จับมือ “มติชน” ส่งเสริมการอ่านแก่โรงเรียน 100 แห่ง ในยุคโซเชียลดิสรัปชั่น

“ส่งมอบความรู้ สู่สังคมไทย” นายกมลดิษฐ สมุทรโคจร รองกรรมการผู้จัดการสายงานการผลิต บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และ นางสาวปานบัว บุนปาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) ในพิธีมอบหนังสือแก่โรงเรียน 100 แห่งทั่วประเทศ

รายงานพิเศษ

กรกฤษณ์ พรอินทร์

 

“คาราบาวกรุ๊ป” จับมือ “มติชน”

ส่งเสริมการอ่านแก่โรงเรียน 100 แห่ง

ในยุคโซเชียลดิสรัปชั่น

 

วันที่ 19 มกราคม 2565 เวลา 10.00 น. ณ ห้องโถง บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) คุณกมลดิษฐ สมุทรโคจร รองกรรมการผู้จัดการสายงานผลิต บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มคาราบาว และคุณปานบัว บุนปาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมกันส่งมอบหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊ หมวดนานาสาระ ให้กับโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา จำนวน 100 แห่ง ตามโครงการ ‘ส่งมอบความรู้สู่สังคมไทย’ โดยมีตัวแทนจาก 3 โรงเรียน ประกอบด้วย อาจารย์ณัฐพงศ์ เงินนาค โรงเรียนชุมชนวัดไทรม้า, อาจารย์รุ่งนภา วิวาสุข โรงเรียนศีลาจารพิพัฒน์, และ อศจ.ธนานันท์ โฉมอุดม โรงเรียนศรีดรุณ มารับมอบหนังสือในครั้งนี้

การส่งมอบหนังสือให้กับโรงเรียนครั้งนี้ของบริษัทคาราบาวกรุ๊ป นับเป็นปีที่ 2 ต่อเนื่องจากปีที่แล้ว โดยโรงเรียนเหล่านี้จะได้รับหนังสือเล่มจำนวน 5,100 เล่ม มูลค่าเกือบ 2,000,000 บาท ที่คัดเลือกจากหนังสือขายดีหรือหนังสือที่ได้รับรางวัล โดยมี บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินการจัดส่งหนังสือดังกล่าวถึงมือโรงเรียนทุกแห่ง

คุณกมลดิษฐ สมุทรโคจร รองกรรมการผู้จัดการสายงานผลิต บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

สร้างคุณค่าชีวิต คืนคุณค่าสู่สังคม

คุณกมลดิษฐ สมุทรโคจร รองกรรมการผู้จัดการสายงานผลิต บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการร่วมมือครั้งนี้ว่า “ปณิธานของกลุ่มบริษัท คาราบาวกรุ๊ปนั้นคือ ‘การสร้างคุณค่าชีวิต คืนคุณค่าสู่สังคม’ โดยที่คาราบาวกรุ๊ปนั้นมีความมุ่งมั่นที่จะทำให้ชีวิตของทุกคนในสังคมดีขึ้น และได้มีโครงการตอบแทนสังคมมามากกว่า 20 ปี ยกตัวอย่าง เช่น โครงการ ‘ส่งมอบความรู้สู่สังคมไทย’ ซึ่งเป็นโครงการ ที่เราสนับสนุนต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 2 แล้ว

“โดยในปีแรกที่เราเริ่มโครงการเป็นปีที่ภาวะโควิด 19 เริ่มระบาด ทำให้พวกเราทุกคนต้องเว้นระยะห่างกัน ทางบริษัทฯ จึงได้เล็งถึงความสำคัญของการอ่านในระหว่างที่ผู้คนในสังคมต้องอยู่ห่างกัน และการมอบความรู้ผ่านหนังสือจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะสร้างคุณค่าให้แก่คนในสังคม บริษัทฯ จึงได้สนับสนุนโครงการนี้ เพื่อส่งมอบหนังสือให้โรงเรียนในถิ่นทุรกันดารในปีที่ผ่านมา และปีที่สองนี้เราได้มอบหนังสือให้กับโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา เนื่องด้วยเรายังคงอยู่ในสถานการณ์โควิด 19 อยู่ จึงได้เน้นคัดเลือกหนังสือที่เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน

“สำหรับการคัดเลือกโรงเรียนเพื่อรับหนังสือ เป็นการคัดเลือกร่วมกันระหว่างคาราวบาวและมติชน หากให้ยกตัวอย่างการคัดเลือกโรงเรียนของทางคาราบาว เราได้คัดเลือกโรงเรียนในบริเวณเขตโรงงานของเราย่านบางปะกงด้วยจำนวนหนึ่ง เพราะในเขตบางปะกงที่ใกล้กับโรงงานคาราบาว เรามีกิจกรรมช่วยเหลือสังคมในบริเวณนั้นอยู่แล้ว ทั้งการสนับสนุน การช่วยเหลือด้านการแพทย์ การพยาบาล สาธารณสุข และกีฬา ซึ่งหนังสือก็คืออีกหนึ่งโครงการที่เราต่อยอดให้ครอบคลุมเพื่อคนในชุมชน”

 

หนังสือเล่มยังคงสำคัญ

“โดยส่วนตัวแล้วผมยังเชื่อว่าหนังสือเล่มยังมีความสำคัญยิ่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่เด็กไทยเรียนหนังสือผ่านระบบออนไลน์ เพราะการผลิตหนังสือแต่ละครั้งต้องมีการตรวจทาน มีบรรณาธิการคอยตรวจสอบความถูกต้อง และมีผู้รับผิดชอบโดยตรง จึงทำให้หนังสือมีคุณค่า

“หนังสือดีๆ อย่างนิตยสารสารคดี นิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้าน เป็นของที่มีคุณค่าที่จะอยู่คู่สังคมไทยไปอีกนาน และการอ่านหนังสือทำให้เรามีเวลาได้หยุดคิด ไม่ว่าจะอ่านหนังสือในรูปแบบไหน ผมไม่ติดขัดเลย ผมเชื่อว่าแม้หนังสือเล่มจะได้รับความนิยมน้อยลง แต่ถึงจุดๆ หนึ่งเขาจะอยู่ของเขาได้ เหมือนกับแผ่นเสียงที่ยังมีคนฟังอยู่แม้ทุกวันนี้คนฟังเพลงผ่านมือถือ แต่แผ่นเสียงยังมีอรรถรสที่การฟังดนตรีแบบอื่นให้ไม่ได้ ผมเชื่อว่าหนังสือก็เป็นแบบนั้น”

 

ส่งมอบความรู้สู่สังคมไทย

“ก่อนหน้านี้เราเคยทำโครงการสอนโค้ชฟุตบอล เป็นการนำความรู้เรื่องฟุตบอลไปกระจายความรู้ให้แก่เด็กๆ ซึ่งโครงการ ‘ส่งมอบความรู้สู่สังคมไทย’ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน เป็นการเสริมสร้างปัญญาที่ชัดเจนมาก ถึงแม้ว่าสินค้าของคาราบาวจะเป็นสินค้าสำหรับผู้ใหญ่ แต่การดูแลสังคมเราต้องไม่เลือก เราต้องดูแลตั้งแต่ระดับเยาวชนขึ้นมา

“ในโครงการปี 2565 นี้ ในภาพรวมเราไม่ได้สนับสนุนแค่เด็กหรือเยาวชนเพียงอย่างเดียว แต่เรามองภาพรวมของสังคมมากกว่า เราเน้นที่การสานต่ออุดมการณ์ของการสร้างคุณค่าชีวิตในทุกๆ เรื่องของทางคาราบาวกรุ๊ป ทั้งในเชิงสังคม และสิ่งแวดล้อม ที่จะทำอย่างไรให้คนเรามีคุณค่าในตัวเอง เพราะการช่วยเหลือสังคมคาราบาวไม่ได้เน้นแจกจ่ายสิ่งของ แต่เน้นที่การสร้างคุณค่า สร้างประสบการณ์ที่ผู้รับสามารถนำไปต่อยอดใช้ได้จริงๆ” คุณกมลดิษฐ กล่าว

 

เนื้อหาหลากสาระจากหนังสือชั้นนำ

ทางด้านคุณสุดารัตน์ วันเพ็ญ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาดและโฆษณา บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) ในฐานะตัวแทนบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงโครงการ ‘ส่งมอบความรู้สู่สังคมไทย’ ที่คาราบาวกรุ๊ปร่วมกับเครือมติชนจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ว่า เป็นโครงการที่ดีมาก เพราะคาราบาวกรุ๊ปเล็งเห็นถึงความสำคัญของการอ่าน โดยการมอบหนังสือครั้งนี้ ประกอบไปด้วยหนังสือที่มีเนื้อหาสาระหลากหลาย อาทิ ประวัติศาสตร์, ศิลปวัฒนธรรม, สารคดี, วิทยาศาสตร์, สุขภาพ, จิตวิทยา, พัฒนาตนเอง, วรรณกรรมแปล, วรรณกรรมเยาวชน ฯลฯ สอดคล้องกับการเรียนรู้ของเยาวชนในวัยมัธยมศึกษาทั่วประเทศ และเป็นการสร้างสังคมแห่งการอ่านที่ยั่งยืนแก่เยาวชนไทย

“เครือมติชนมีสำนักพิมพ์มติชนผลิตหนังสือหลากหลายหมวด ครอบคลุมทุกความสนใจของผู้อ่าน เพราะฉะนั้นเครือมติชนจึงให้ความสำคัญกับการส่งมอบความรู้ผ่านหนังสืออย่างต่อเนื่อง ด้วยเชื่อมั่นว่า ความรู้จะช่วยเสริมสร้างปัญญาและสร้างความแข็งแกร่งในการใช้ชีวิต

“ที่ผ่านมา เครือมติชนได้ร่วมกับพันธมิตรชั้นนำ มอบหนังสือแก่โรงเรียนที่ขาดแคลนหลายแห่งทั่วประเทศ ดังนั้น เครือมติชนจึงมีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมกับคาราบาวกรุ๊ป สนับสนุนการมอบหนังสือในโครงการ ‘ส่งมอบความรู้สู่สังคมไทย’ แก่โรงเรียนที่ขาดแคลนอุปกรณ์ทางการศึกษา ได้มีหนังสือเพื่อเพิ่มเติมความรู้” คุณสุดารัตน์ กล่าว

 

การอ่านของนักเรียนยุคโซเชียลดิสรัปชั่น

อศจ.ธนานันท์ โฉมอุดม โรงเรียนศรีดรุณ, อ.ณัฐพงศ์ เงินนาค โรงเรียนชุมชนวัดไทรม้า และ อ.รุ่งนภา วิวาสุข โรงเรียนศีลาจารย์พิพัฒน์ ตัวแทนโรงเรียนในการรับมอบหนังสือในครั้งนี้ให้ข้อมูลตรงกันว่า โรงเรียนของพวกเขามีการส่งเสริมการอ่านสอดรับกับนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการที่ต้องการให้นักเรียนทุกคนอ่านออกเขียนคล่อง โดยมีหนังสือและห้องสมุดโรงเรียนเป็นตัวช่วยสำคัญ

“โรงเรียนศีลาจารย์พิพัฒน์จะมีโครงการรักการอ่าน มีเด็กนักเรียนที่เป็นยุวบรรณารักษ์น้อยเป็นตัวแทนนำเสนอหน้าเสาธง และมีห้องสมุดเคลื่อนที่ รวมถึงความรู้ที่นักเรียนได้มาจากการใช้ชีวิตประจำวัน เราก็จะเอามาเผยแพร่ที่บอร์ดอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งของศูนย์ภาษาไทยและศูนย์ภาษาอังกฤษ

“จากการเรียนออนไลน์เพราะการระบาดของโควิด-19 ที่เป็นอุปสรรคต่อการเข้าห้องสมุด เราเลยปรับตัวมาเน้นการอ่านหนังสือทางเฟซบุ๊กของโรงเรียนแทน โดยย่อยจากหนังสือเล่มเป็นความรู้เล็กๆ น้อยๆ เช่น เรื่องสุขภาพที่เกี่ยวกับโควิด ก็เอามาดัดแปลงเป็นการ์ตูนน่ารักๆ ปรับให้ความรู้จากหนังสือเล่มเข้าถึงนักเรียนได้ง่ายขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ทิ้งการอ่านหนังสือเล่มในห้องสมุดโรงเรียนด้วย” อ.รุ่งนภา วิวาสุข จากโรงเรียนศีลาจารย์พิพัฒน์ กล่าว

 

อ.รุ่งนภา วิวาสุข โรงเรียนศีลาจารย์พิพัฒน์

หนังสือเล่มยังจำเป็นสำหรับห้องสมุด

อ.รุ่งนภา วิวาสุข ยืนยันว่าหนังสือเล่มยังจำเป็นอยู่ สำหรับเด็ก ม.ต้นก็ยังต้องการการ์ตูนความรู้ เด็ก ม.ปลายก็จะเป็นหนังสือวิชาการ เช่น การสอบฟิสิกส์ เคมี ส่วนบุคลากรในโรงเรียนก็จะเป็นนิตยสาร วารสาร หนังสือพิมพ์ต่างๆ

“แม้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์จะรวดเร็วก็จริง แต่ความแม่นยำ ความถูกต้อง การอ้างอิง ความน่าเชื่อถือ ไม่เท่ากับหนังสือเล่ม หนังสือเล่มช่วยฝึกสายตา ฝึกสมาธิ ให้แก่เด็กๆ ภาพ กระดาษ สีหมึกของหนังสือ เป็นรูปธรรมให้เด็กๆ จับต้องได้ ห้องสมุดของเราต้องจัดให้เข้ากับบริบทของโรงเรียนและเด็กๆ เรารู้ว่าเด็กๆ ของเราชอบหนังสือแบบไหนเราก็จัดแบบที่เด็กๆ ชอบ และห้องสมุดเคลื่อนที่ของเราไม่ได้เคลื่อนที่เฉพาะในโรงเรียนเท่านั้น แต่เคลื่อนที่สู่ชุมชนใกล้เคียงด้วย เราเก็บสถิติโดยดูชื่อผู้ใช้งานว่าคนในชุมชนหยิบเล่มไหนไปอ่านบ้าง เท่ากับว่าหนังสือจากห้องสมุดในโรงเรียนเราก็จะเป็นห้องสมุดของชุมชนด้วย”

อ.ณัฐพงศ์ เงินนาค โรงเรียนชุมชนวัดไทรม้ากล่าวเสริมว่า “ที่โรงเรียนชุมชนวัดไทรม้ามีการสอบวัดผล ประเมินผล จากกิจกรรมส่งเสริมการอ่านที่รณรงค์มาตลอดภาคปีการศึกษา พบว่าผลสัมฤทธิ์เพิ่มขึ้น นักเรียนเคยเห็นคำศัพท์หลายคำก่อนที่เจอในบทเรียน เพราะเคยอ่านเจอจากหนังสือเล่มอื่นๆ มาก่อน การอ่านหนังสือนอกเวลาที่ไม่ใช่หนังสือเรียนจึงมีประโยชน์และได้ผลจริง”

 

ขอบคุณ “คาราบาว” ขอบคุณ “มติชน”

อ.รุ่งนภา วิวาสุข กล่าวถึงโครงการ ‘ส่งมอบความรู้สู่สังคมไทย’ ครั้งนี้ว่า “อยากให้คาราบาวและมติชนส่งเสริมโครงการนี้ไปเรื่อยๆ เพราะมีประโยชน์มาก พอมีโครงการเข้ามาช่วยเหลือด้านการจัดสรรหนังสือเข้าห้องสมุด ครูผู้สอนจะได้มีแนวทางในการจัดการเรียนการสอนชัดเจนขึ้น เพราะรู้ว่าห้องสมุดของตนจะได้รับหนังสืออะไรบ้าง ยิ่งตามท้องถิ่นทุรกันดารหนังสือเป็นสิ่งที่หายากมาก ต้องขอบคุณทั้งสององค์กรที่เริ่มต้นโครงการนี้”

อ.ณัฐพงศ์ เงินนาค กล่าวว่า “ทราบมาว่าปีนี้เป็นปีที่ 2 แล้วสำหรับโครงการนี้ เท่ากับว่ามีโรงเรียนได้รับหนังสือไปแล้วถึง 200 โรงเรียน ถ้าเข้าสู่ปีที่ 3 หรือปีที่ 4 ก็เป็นจำนวน 300-400 โรงเรียน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมากๆ สำหรับเด็กๆ ที่จะได้พัฒนาทักษะการอ่านและความรู้ใหม่ๆ ที่เท่าทันโลก”

อศจ.ธนานันท์ โฉมอุดม โรงเรียนศรีดรุณ กล่าวปิดท้ายว่า “ในนามของสถานศึกษาคงไม่มีอะไรมอบให้นอกจากคำขอบคุณ ขอขอบคุณครับ”