“หมออ๋อง” แฉ ‘ลัมปีสกิน’ ระบาดหนัก รัฐกลับเยียวยาแบบขอไปที จี้เร่งแก้หวั่นซ้ำรอยจัดการโควิด

หวั่นวิกฤตสัตว์ซ้ำรอยวิกฤติคน ‘หมออ๋อง ก้าวไกล’ แฉ ‘ลัมปี สกิน’ ระบาดทำเกษตรกรเสียหายหนัก แต่ภาครัฐยังเยียวยาแบบขอไปที เผยตายกี่ร้อยก็จ่ายชดเชยแค่ 2 ตัว จี้ เปิดเผยข้อมูลการระบาด จัดสรรวัคซีน – เยียวยาให้เร็ว อย่าให้ซ้ำรอยการบริหารจัดการโควิดที่ผิดพลาด

วันที่ 17 มิถุนายน 2564 ปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล กล่าวถึง ข้อมูลจากกรมปศุสัตว์ จนถึงวันที่ 15 มิถุนายน 2564 ว่า ขณะนี้มีโคกระบือป่วยเป็นลัมปี สกินแล้วประมาณ 75,000 ตัว รักษาหายแล้ว 9,000 ตัว มีสัตว์ป่วยคงเหลือ 66,000 ตัว และมีสัตว์ตาย 9,000 ตัว จากเมื่อสัปดาห์ก่อนที่มียอดตายสะสมเพียง 344 ตัว ถือว่ายอดตายได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด แสดงให้เห็นถึงความด้อยประสิทธิภาพในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค สร้างความเสียหายให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคกระบือในประเทศอย่างร้ายแรง
.
“ปลายเดือนมีนาคม 2564 จู่ๆ โคกระบือทั่วประเทศก็มีตุ่มเนื้อขึ้นตามลำตัว โรคประหลาดชนิดนี้สร้างความแตกตื่นไม่น้อยในหมู่เกษตรกร เพราะในประเทศไทยไม่เคยมีอาการลักษณะแบบนี้มาก่อน โรคลัมปี สกิน (Lumpy Skin Disease) เป็นโรคติดต่อที่เกิดขึ้นในเฉพาะโคและกระบือ ไม่ติดต่อสู่คน เป็นเชื้อไวรัสฝีดาษในตระกูล Capripoxvirus ที่แพร่กระจายเชื้อผ่านแมลงดูดเลือดและการสัมผัสโดยตรงระหว่างสัตว์ อาการของโรคคือทำให้สัตว์มีตุ่มเนื้อขึ้นตามตัว ก่อนจะกลายเป็นแผลตกสะเก็ด ซึ่งถ้าไม่ได้รับการรักษาก็ทำให้สัตว์เสียชีวิตได้”
.
ปดิพัทธ์ กล่าวต่อไปว่า เมื่อลองศึกษาในเชิงลึกได้พบถึงความไม่ชอบมาพากลของการระบาดหลายประการ จากข้อเท็จจริงที่ว่าลัมปี สกิน ไม่ใช่โรคพื้นถิ่นของประเทศไทย แต่เป็นโรคจากต่างประเทศ จึงหมายความได้อย่างเดียวว่าจะต้องมีการนำเข้าโคกระบือหรือชิ้นส่วนของโคกระบือที่ปนเปื้อนเชื้อโรคเข้ามาในประเทศไทยโดยไม่ได้ผ่านกระบวนการกักกันโรคตามปกติ อีกทั้ง ลัมปี สกิน เป็นโรคที่มีการแพร่ระบาดตามระยะทางของพาหะ คือแมลงดูดเลือด ซึ่งมีระยะการเดินทางไม่ไกลนัก แต่ในสภาพความเป็นจริงนั้นกลับเกิดการแพร่ระบาดในวงกว้าง จึงหมายความว่า มาตรการที่รัฐบาลประกาศควบคุมการเคลื่อนย้ายโคกระบือนั้นล้มเหลว โรคระบาดถึงได้กระจายไปทั่วประเทศในตอนนี้
.
ปดิพัทธ์ ยังชี้ให้เห็นถึงปัญหาของวัคซีน กรมปศุสัตว์ ว่าได้นำเข้าวัคซีนล็อตแรก 60,000 โดสในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ส่วนวัคซีนล็อตที่สองอีก 264,000 โดสจะมาถึงในวันที่ 14 มิถุนายน ซึ่งล่าช้ากว่าความต้องการ จนเกษตรกรจำเป็นต้องลงมือแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันไปก่อน ตั้งแต่นำน้ำส้มควันไม้มาฉีดไล่แมลง ให้โคกินยาเขียวเพื่อแก้อาการอักเสบ ไปจนถึงการลักลอบนำเข้าวัคซีนจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยแช่ขวดวัคซีนใส่กระติกน้ำแข็งส่งมากับรถทัวร์ ขณะที่ภาครัฐทำได้เพียงแค่บอกให้เกษตรกรอดทนรอการนำเข้าวัคซีนจากรัฐบาลเท่านั้น
.
“การชดเชยความเสียหายให้กับเกษตรกรก็ยังเป็นปัญหา เพราะเกณฑ์การชดเชยในปัจจุบันยึดตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 โดยอ้างอิงราคาตามหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติปลีกย่อยเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือด้านการเกษตรผู้ประสบภัยพิบัติ กรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2556 ซึ่งตั้งชดเชยให้เฉพาะสัตว์ที่ตายและสูญหายจากภัยพิบัติ และช่วยเหลือไม่เกินรายละ 2 ตัว ราคาต่อตัวไม่เกิน 6,000-20,000 บาท ต้องย้ำว่าการเยียวยาตามระเบียบดังกล่าวจะเยียวยาเฉพาะวัวที่ตาย และเกษตรกรจะได้รับเงินเยียวยาไม่เกินรายละ 2 ตัว ซึ่งหมายความว่าหากเกษตรกรซื้อยาฆ่าแมลงมาฉีด ซื้อยามารักษาวัวตามอาการจนรอดตาย หรือดิ้นรนไปหาวัคซีนเถื่อนมาใช้ก่อน ก็จะไม่ได้รับเงินเยียวยาเลย ซึ่งในกรณีเหล่านี้ นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ตอบได้เพียง “เรากำลังคิดกันอยู่” ขณะที่อธิบดีกรมปศุสัตว์ก็เชิญชวนว่า ถ้าเกษตรกรอยากได้เงินเยียวยามากกว่านี้ ก็ให้ไปสมัครเข้าร่วมโครงการประกันชีวิตโค”
.
ปดิพัทธ์ ย้ำว่า การแพร่ระบาดของลัมปี สกิน จึงเป็นภาพสะท้อนการทำงานของรัฐบาลประยุทธ์ในยุคโควิด-19 ที่ทำให้มองเห็นปัญหาในระบบราชการหลายเรื่อง ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการแพร่ระบาดที่ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด การควบคุมการแพร่ระบาดที่ล้มเหลว การนำเข้าวัคซีนที่ล่าช้า และการชดเชยเยียวยาที่ไม่สมน้ำสมเนื้อกับความเสียหายที่เกษตรกรได้รับจริง ดังนั้น หน่วยงานภาครัฐโดยเฉพาะกรมปศุสัตว์จะต้องเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับโรคระบาดในสัตว์ในประเทศไทยอย่างตรงไปตรงมา การปกปิดข้อมูลโดยอ้างว่าไม่ต้องการให้ส่งผลกระทบกับการส่งออกเนื้อสัตว์ จะยิ่งทำให้การแพร่ระบาดของโรคลัมปี สกินรุนแรงขึ้นกว่าเดิม และเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่อื่น ๆ ที่จะซ้ำเติมความลำบากของพี่น้องเกษตรกรให้มากขึ้นไปอีก
.
นอกจากนี้ ควรต้องมีการกักกันสัตว์อย่างเป็นระบบตามหลักวิชาการ คือหยุดการเคลื่อนย้ายสัตว์ เข้า-ออก ในพื้นที่ที่เกิดการระบาดทันที รวมไปถึงการแยกสัตว์ป่วยออกจากฝูง และกำจัดแมลงพาหะนำโรคโดยเร็ว ในส่วนวัคซีน รัฐบาลต้องเร่งนำเข้าและกระจายวัคซีนให้เพียงพอกับจำนวนโคกระบือที่มีกว่า 7 ล้านตัวทั่วประเทศ โดยลดขั้นตอนทางเอกสารและระเบียบราชการที่ยุ่งยากซ้ำซ้อน และต้องมีการชดเชย เยียวยา และสนับสนุนเงินให้กับเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบให้เหมาะสม ครอบคลุมกับความเสียหายที่ได้รับ