จีนผวา! ไข้หวัดนก H5N1 ระบาดซ้ำในหูหนาน ท่ามกลางโคโรน่าไวรัสแพร่กระจาย

วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2563 สำนักข่าวซินหัวของทางการจีน รายงานว่า คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีน (NHC) ประกาศจำนวนผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ได้รับการยืนยันผลอยู่ที่ 14,380 ราย (ตัดมณฑลกว่างตงออก 1 ราย) และจำนวนผู้ป่วยที่เสียชีวิตอยู่ที่ 304 ราย เมื่อนับถึงสิ้นวันเสาร์ (1 ก.พ.)

รายงานประจำวันของคณะกรรมการฯ ระบุว่าผู้ป่วยทั้งหมดกระจายตัวอยู่ในภูมิภาคระดับมณฑล 31 แห่งของจีน ส่วนหนึ่งเป็นผู้ป่วยหนักขั้นวิกฤต 2,110 ราย ขณะจำนวนผู้ป่วยต้องสงสัยติดเชื้อไวรัสฯ อยู่ที่ 19,544 ราย ส่วนผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาจนหายดีอยู่ที่ 328 ราย

เมื่อวันเสาร์ (1 ก.พ.) เพียงวันเดียว มีรายงานผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากไวรัสฯ รายใหม่ 2,590 ราย ผู้ป่วยต้องสงสัยติดเชื้อไวรัสฯ รายใหม่ 4,562 ราย และผู้ป่วยที่เสียชีวิตรายใหม่ 45 ราย ซึ่งเป็นคนในมณฑลหูเป่ยทั้ง 45 ราย

ในวันเดียวกัน มีรายงานผู้ป่วยอาการวิกฤต 315 ราย และผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาจนหายดีจนออกจากโรงพยาบาลได้ 85 ราย

คณะกรรมการฯ ระบุว่ามีการติดตามผู้ที่มีประวัติติดต่อใกล้ชิดกับผู้ป่วยทั้งหมด 163,844 ราย โดย 8,044 ราย ได้รับการปล่อยตัวจากการกักกันเพื่อการสังเกตการณ์ทางการแพทย์ ขณะ 137,594 ราย ยังคงอยู่ภายใต้การสังเกตการณ์ทางการแพทย์ต่อไป

ด้านจำนวนผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากไวรัสฯ ที่ได้รับการยืนยันผลในเขตบริหารพิเศษฮ่องกง เขตบริหารพิเศษมาเก๊า และเกาะไต้หวันของจีนอยู่ที่ 14 , 7 และ 10 รายตามลำดับ เมื่อนับถึงสิ้นวันเสาร์ (1 ก.พ.)

ขณะที่ กระทรวงเกษตรจีนรายงานการระบาดของไข้หวัดนก สายพันธุ์ H5N1 ที่ฟาร์มไก่ในเมืองเชาหยาง มณฑลหูหนาน หลังจากไก่ในฟาร์มแห่งนี้ตายจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์ H5N1 ไปแล้ว 4,500 ตัวจากทั้งหมด 7,850 ตัว ขณะที่ทางการท้องถิ่นจีนสั่งฆ่าสัตว์ปีก 17,828 ตัว เพื่อป้องกันการระบาดเป็นวงกว้าง แม้ว่ายังไม่พบผู้ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดนกจากการระบาดรอบนี้

ทั้งนี้ เชื้อไวรัสสายพันธุ์ H5N1 ทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจรุนแรงในสัตว์ปีกและติดต่อมาสู่คนจากการสัมผัสและอยู่ใกล้ชิดสัตว์ที่ติดเชื้อเป็นเวลานาน โดยผู้ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์นี้มีโอกาสเสียชีวิตกว่า 50% สูงกว่าโรคซาร์ส (อัตราการเสียชีวิต 10%) และไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (อัตราการเสียชีวิต 2%) โดยการระบาดของไข้หวัดนก เมื่อปี 2556 สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจจีน เป็นมูลค่าสูงถึง 6,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2 แสนล้านบาท