พีเน็ต มึน กกต.แจ้งข้อหา ‘ธนาธร’ ชี้ ใบส้มใช้เฉพาะเจตนารมณ์โกงเลือกตั้ง

พีเน็ตมึน กกต.แจ้งข้อหา “ธนาธร” ชี้ ใบส้มใช้เฉพาะโกงเลือกตั้ง จี้ คาดโทษก่อนรับรองผล หวั่นส่งผล 2 ขั้วแข่งตั้ง รบ.

เมื่อวันที่ 24 เมษายน น.ส.ลัดดาวัลย์ ตันติวิทยาพิทักษ์ รองประธานมูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย หรือพีเน็ต กล่าวถึงมติ กกต.แจ้งข้อกล่าวหานายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) ฐานถือหุ้นสื่อว่า ก็ต้องว่ากันไปตามกฎหมาย ในประเด็นการขัดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม กกต.มีอำนาจตรวจสอบได้ก่อนและหลังประกาศผลการเลือกตั้งเท่านั้น ส่วนตัวมองว่า เรื่องคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามกับการแจกใบส้มนั้น ไม่เกี่ยวข้องกัน เจตนารมณ์ของการแจกใบส้มหมายถึงการพบว่า การเลือกตั้งนั้นไม่สุจริตและเที่ยงธรรม ผู้สมัคร ส.ส.มีพฤติกรรมทุจริต มีการซื้อเสียง จูงใจผู้มีสิทธิไปลงคะแนนให้หรือไม่ลงคะแนนให้ผู้สมัคร ส.ส.คนใด ทั้งนี้ ก็ขึ้นกับการตีความของ กกต. ซึ่งกรณีของนายธนาธร กกต.อาจตีความอย่างกว้าง มองว่าการถือหุ้นสื่อคือความไม่เที่ยงธรรมกับผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคการเมืองอื่นๆ แต่การชี้แจงของฝ่ายนายธนาธรก็ยืนยันชัดเจนว่า มีการแสดงเจตนาเพื่อจะจัดการเรื่องหุ้นให้จบก่อนสมัคร ส.ส.แล้ว

“เมื่อ กกต.ตีความบังคับใช้กฎหมายแจ้งข้อกล่าวหาต่อนายธนาธรแล้ว ก็ต้องดำเนินกันไปตามกระบวนการ แต่ต้องยอมรับการตั้งคำถามจากสังคมที่ตามมาด้วยว่า การปฏิบัติต่อนายธนาธรเช่นนี้ จะปฏิบัติต่อผู้มีอำนาจในพรรคการเมืองอื่นๆอย่างเท่าเทียมกันด้วยหรือไม่ เพราะการตีความกฎหมายของ กกต.เช่นนี้ถือเป็นการวางมาตรฐานใหม่ ก็ต้องใช้เป็นมาตรฐานตลอดไป โดยเฉพาะตอนนี้ก็เริ่มมีการทวงถามถึงผู้สมัคร ส.ส.รายอื่นๆ ที่ประกอบธุรกิจ ซึ่งต้องยื่นจดทะเบียนต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า โดยในแบบฟอร์มสำเร็จรูปของทางราชการนั้นครอบคลุมธุรกิจแทบทุกประเภทซึ่งรวมถึงด้านสื่อ แล้ว กกต.จะดำเนินการอย่างไร ถึงแม้ในข้อเท็จจริงการทำธุรกิจนั้นอาจไม่เกี่ยวกับด้านสื่อ ตรงนี้จึงเป็นหน้าที่ของ กกต.ที่ต้องแสดงความเป็นกลางอย่างชัดเจน รวมไปถึงเรื่องร้องเรียนก่อนหน้านี้ เช่น โต๊ะจีนพลังประชารัฐ ที่ กกต.บอกว่า ไม่พบเงินชาวต่างชาติมาครอบงำ แต่ก็ยังไม่ได้ตอบคำถามตามคำร้องว่า ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ร่วมบริจาคนั้นผิดกฎหมายพรรคการเมืองหรือไม่” น.ส.ลัดดาวัลย์กล่าว

น.ส.ลัดดาวัลย์กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังขอตั้งข้อสังเกตถึงการพิจารณาคำร้องเรียนเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ซึ่ง กกต.ยังพิจารณาไม่แล้วเสร็จจำนวนมาก ซึ่งจะส่งผลต่อการแจกใบเหลือง ใบส้ม ก่อนประกาศผลการเลือกตั้งที่มีกำหนดในวันที่ 9 พฤษภาคม ด้วยว่า ทำไมจึงยังไม่มีความชัดเจนต่อเรื่องดังกล่าวมากพอ จนประกาศคาดโทษก่อนประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง เหมือนเช่นการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ซึ่งจะมีการสอยก่อนในบางเขตก่อนรับรองผลการเลือกตั้งจากนั้นจึงมีการรับรองและสอยทีหลังโดยส่งเรื่องร้องเรียนให้ศาลพิจารณา จึงทำให้ห่วงกังวลว่า ภายหลังประกาศผลการเลือกตั้ง จะมีการส่งเรื่องร้องเรียนให้ศาลสอย ส.ส.จำนวนมากถึงหลักร้อยละ 20 หรือไม่ ถ้าใช่ก็จะสะท้อนออกมาทันทีว่า กกต.จัดเลือกตั้งไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม แทนที่จะใช้อำนาจที่มีคาดโทษจัดการเลือกตั้งซ่อมก่อนประกาศผล แต่กลับรับรองผลการเลือกตั้งไปก่อนแล้วค่อยส่งให้ศาลพิจารณาภายหลัง

“อีกทั้งคำถามและความสับสนในสังคมจะยิ่งเกิดมากขึ้น หากมีการสอย ส.ส.ภายหลังเลือกตั้งจำนวนมาก เพราะขณะนี้เสียงทั้งฝ่ายที่กำลังจะจัดตั้งรัฐบาลมีคะแนนสูสีกันทั้ง 2 ขั้ว ดังนั้น ถ้าก่อนประกาศผลการเลือกตั้ง กกต.ยังไม่สอย หลังประกาศผลการเลือกตั้งก็ไม่ควรส่งเรื่องให้ศาลพิจารณาสอย ส.ส.จำนวนมากอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เพราะนอกจากปัญหาที่จะเกิดขึ้นภายในประเทศแล้ว ในแง่ความเชื่อมั่นระหว่างประเทศก็จะยิ่งถูกตั้งคำถามมากขึ้น จะยิ่งส่งผลกระทบต่อการค้าการลงทุนในประเทศไทยด้วย ส่วนกรณีที่ผู้ตรวจการแผ่นดินรับคำร้องให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะนั้น มองว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นจริง แต่ยังไม่ถึงขนาดกับส่งผลโดยรวมอย่างมีนัยยะสำคัญจนถึงขั้นการเลือกตั้งเป็นโมฆะ ตรงไหนมีปัญหาก็ต้องแก้กันไป ไม่ใช่ล้มกระดาน ต้องอย่าลืมว่า การเลือกตั้งแต่ละครั้งต้องเสียทรัพยากรกันไปมากเท่าไร ไม่ใช่แค่ค่าจัดเลือกตั้ง 5 พันล้าน แต่ยังรวมถึงค่าผู้สมัคร ส.ส. ค่าหาเสียง และค่าเดินทางของประชาชนที่ต้องเดินทางไปใช้สิทธิเลือกตั้งด้วย” น.ส.ลัดดาวัลย์กล่าว

มติชนออนไลน์