7 ปีที่รอคอย “เบลล่า ราณี” กับมาตรฐานเต็มที่ ทำ “การะเกด” เจิด!

เบลล่า ราณี แคมเปน บอกแบบไม่มีกั๊กกับ “มติชนสุดสัปดาห์” ว่า ตอนนี้เธอกำลังแฮปปี้ ดีใจสุดๆ กับผลตอบรับจากแฟนๆ ที่มีต่อละคร “บุพเพสันนิวาส”

การตอบรับที่เรียกได้ว่าเป็นปรากฏการณ์อันถล่มทลาย ที่หลายๆ ปีจะมีสักครั้งในวงการละครไทย ซึ่งเห็นแล้วบอกเลยว่า ทำให้ความรู้สึกเหนื่อยจากการถ่ายทำอันยาวนานเกือบ 2 ปี หายเป็นปลิดทิ้ง

“ดีใจที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้” นางเอกผู้รับบทเป็นทั้ง “การะเกด” ที่แสนร้าย และ “เกศสุรางค์” ที่แสนน่ารัก บอกพลางยิ้ม

ก่อนให้เหตุผลว่า ที่รู้สึกอย่างนั้น เพราะนอกเหนือจาก “บุพเพสันนิวาส” จะเป็นงานดีที่ให้ทั้งความบันเทิง และสอดแทรกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์แก่ผู้ชมแล้ว ในส่วนของเธอเองก็ยังได้ในหลายแง่ ทั้งแง่ของงานที่ได้รับบทซึ่งท้าทาย จนได้พัฒนาตัวเอง และขณะเดียวกันก็ยังได้แง่คิดสำคัญ

โดยเฉพาะจากตัวการะเกด

“ก่อนเปิดกล้อง เราต้องเรียนรู้ตัวละครทั้ง 2 ตัว ขุดถึงชีวิตที่ผ่านมาของเขา เราเรียนรู้ว่าการะเกดไม่ได้ร้ายตั้งแต่แรก คือเป็นลูกคนเดียว พ่อแม่ก็ตามใจบ้าง แต่พอมาเจอเรื่องร้ายๆ กลายเป็นกำพร้า ถูกแย่งชิงสมบัติ ก็ทำให้เขาสร้างกำแพงในตัวเองขึ้นมา ภายนอกเขาสวยมาก แต่งตัวสวย แต่ว่าข้างในไม่มีความสุขเลย และเขามาคิดได้ตอนที่ตายแล้ว”

“แค่นี้มันก็สอนเราได้ ว่าชีวิตของเรามีแค่วันนี้ วันพรุ่งนี้อาจจะไม่มีแล้ว เพราะฉะนั้น ควรทำวันนี้ให้ดีที่สุด จะได้ไม่มาเสียดายทีหลัง”

ขณะเกศสุรางค์ซึ่งภายนอกดูอวบอ้วน “แต่คนรักเขาที่จิตใจ รักที่ภายในของเขา รักที่ความจริงใจ และไม่ทำร้ายคนอื่น”

ซึ่งสำหรับเธอบอกเลยว่า “เราก็อยากเป็นเหมือนเกศสุรางค์”

กับบทร้ายยยย ตบคนและอาละวาดเป็นว่าเล่น รวมไปถึงบทโก๊ะๆ ฮาๆ ที่ได้เห็นในเรื่อง และหลายคนชมนั้น เบลล่าบอก “ก็พยายามนะคะ อยากให้คนเห็นเราในอีกแบบ โชคดีที่ได้บทแตกต่างไปจากเดิม เลยได้เห็นเราในอีกมุมหนึ่งซึ่งคนอาจจไม่รู้มาก่อน ว่าเราก็มีสิ่งนี้อยู่ในตัว”

เล่าด้วยว่าในส่วนของการรับงานนั้น ช่อง 3 ซึ่งเป็นต้นสังกัดจะพิจารณา ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้งานดีๆ ตลอด รวมถึง 2 เรื่องใหม่ที่กำลังถ่ายทำ คือ “ปี่แก้วนางหงส์” และ “กรงกรรม” โดยปี่แก้วนางหงส์ เป็นแนวดราม่า ตัวละครที่เธอเล่นก็มีพัฒนาการน่าสนใจ ตั้งแต่ตอนที่เป็นคน จนไปถึงเป็นผี

ขณะที่กรงกรรมเป็นละครชีวิต และตัวละครที่เธอรับ มีความซับซ้อนทางอารมณ์อย่างมาก เนื่องจากเป็นโสเภณี ที่ภายหลังเกิดรักแท้ แต่มีอุปสรรคที่แม่ของฝ่ายชายไม่ยอมรับ จนอยากพิสูจน์ตัวเอง แต่กลับทำเรื่องผิดพลาดโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์

“ยากทั้ง 2 เรื่องเลยค่ะ” เบลล่าที่ใช้เวลาเกือบทั้งสัปดาห์ สลับกันอยู่ใน 2 กองถ่าย สารภาพ

หากก็พยายามเต็มที่ เพราะอยากให้ออกมาดีที่สุด

“ไม่ค่อยปล่อยค่ะ จะเช็กตัวเองตลอด ถ้าไม่เช็กมอนิเตอร์ ก็จะเช็กความรู้สึกตัวเอง ถ้ารู้สึกว่าหลุดจากตัวละคร หรือสมาธิของเราหลุด ก็จะขอใหม่อีกที” นี่เจ้าตัวเล่าถึงวิธีการทำงาน

แล้วว่า ที่ทำอย่างนั้นไม่ใช่เพราะคาดหวังว่าพอละครแพร่ แล้วทุกคนจะพูดถึง หรือชื่นชมอื้ออึง

“ไม่ใช่เลย” เธอย้ำ

“แค่ไม่อยากเสียดาย ว่าทำไมเล่นไม่ดีเลย หรือในตอนนั้นเราน่าจะทำเต็มที่กว่านี้”

“ไม่อยากรู้สึกแบบนั้น”

“เบลเป็นคนเต็มที่ในทุกวัน นี่คือมาตรฐานของตัวเอง”

เบลล่าในวัย 28 ปี อธิบายที่มาของ “มาตรฐานเต็มที่” ดังกล่าว ว่าเป็นเพราะเธอยังจำได้ไม่ลืมถึงเหตุการณ์ตอนเข้าวงการใหม่ๆ เมื่อราว พ.ศ.2554 หรือเมื่อ 7 ปีก่อนได้ดี

“เซ็นช่องแล้ว ไปเจอผู้จัดทุกคน ก็ยังไม่มีงาน ท้อเหมือนกันว่าทำไมยังไม่ได้เล่นละครสักที จนมาเจออาปิ่น (ณัฐนันท์ ฉวีวงษ์ ค่ายทีวีซีน) เลยรู้สึกว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะฉะนั้น พอได้รับโอกาส ต้องเต็มที่”

จึงไม่ต้องแปลกใจว่าในห้วงที่ผ่านมา เวลามีคนเสนองานดีที่น่าสนใจ ถ้าเป็นไปได้เธอก็จะรับไว้

“บางทีโอกาสไม่รอเรา ปฏิเสธไปแล้วมาเสียดายทีหลังมันก็ไม่ได้” คือเหตุผลที่เธอให้พร้อมกับหัวเราะ

“แต่อาจจะมีแบบว่า เวลาปิดกล้องแล้ว จะขอพักแป๊บนึง เพราะเราต้องล้าง เบลอยู่กับละครตัวนั้นมาเป็นปี ก็จะขอไปพักผ่อน ไปคลีนข้างใน เพื่อให้ทุกอย่างกลับมาใหม่”

แล้วพร้อมไปกระโจนใส่ตัวละครตัวต่อไป

วิธีคลีนที่เบลล่าเลือกใช้ เธอบอกว่าส่วนมากคือการไปเที่ยว จะในหรือต่างประเทศก็แล้วแต่ช่วงเวลาที่มี ส่วนในกรณีที่ไม่มีเวลาจริงๆ การอ่านหนังสือเพื่อหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ หรือการดูซีรี่ส์ก็ช่วยได้เช่นกัน

หากกระนั้นวิธีที่ดีที่สุดที่ค้นพบ คือการนำธรรมะมาปรับความคิด ความรู้สึก ให้ไม่ยึดติดกับสิ่งที่ผ่านมา

เผยด้วยว่าในบรรดาเรื่องต่างๆ ที่ผ่านมา “เพลิงบุญ” คือเรื่องที่ล้างยากเหลือเกิน

“เป็นละครที่เรียลบอกไม่ถูก มันรู้สึกจริงมาก บางทีกลับไปบ้านแล้ว รู้สึกว่าทำไมเครียดจัง อยู่ดีๆ ก็จะเกร็งตัว แล้วเครียดลงกระเพาะ มีบางช่วงผอมเลยนะ” ถึงตอนนี้เบลล่าเล่าได้แบบขำๆ

แต่ตอนนั้นน่ะบอกเลยว่าไม่ใช่

เบลล่าซึ่งไม่ได้นึกได้ฝันว่าจะมาทำงานในวงการบันเทิง ยังบอกอีกว่า ตอนที่เธอยังเป็น “คนนอก” แล้วมองเข้ามาในวงการ สิ่งเดียวที่รู้สึกคือ มันมีแต่ความสวยงาม

“มีแต่ทุ่งดอกลาเวนเดอร์ มองว่ามันไม่น่าจะยาก หมายถึงไม่คิดว่าจะเหนื่อยขนาดนี้ แต่พอเข้ามาอยู่ มันก็คืออาชีพๆ หนึ่ง ที่อยู่ในกองถ่าย เราก็ไม่ได้วิเศษวิโสกว่าใคร ทุกคนคือทีมเดียวกัน ขาดคนใดคนหนึ่งไปไม่ได้จริงๆ”

“เราก็แค่บุคคลๆ หนึ่งในกองถ่าย เหมือนตำแหน่งช่างไฟที่ถ้าขาดใครไปก็ไม่ได้ ตำแหน่งนักแสดงก็ขาดใครไปก็ไม่ได้เหมือนกัน”

“ทุกหน้าที่มีความสำคัญในการทำงาน แล้วทุกคนก็เท่ากัน”

ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ละครออกมาเป็นผลสำเร็จ

เหมือน “บุพเพสันนิวาส” เองก็เช่นกัน