เสฐียรพงษ์ วรรณปก : ชีวิตและเป้าหมายของชีวิต

ชีวิตเกิดขึ้นมาอย่างไร

ถ้าคำถามนี้หมายเอาเพียงช่วงสั้นๆ ในชาตินี้ว่า คนเราเกิดมาได้อย่างไรก็มีคำตอบให้ทั้งทางวิทยาศาสตร์และทางศาสนศาสตร์ วิทยาศาสตร์กับพระพุทธศาสนาให้คำตอบไม่แตกต่างกัน

นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า คนเป็นผลโดยตรงของตัวสเปิร์มและไข่ซึ่งได้มาจากบิดาและมารดา นักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าชีวิตทั้งหมดมาจากชีวิต

พระพุทธศาสนาก็กล่าวทำนองเดียวกัน แค่เพิ่มองค์ประกอบฝ่ายนามธรรม คือจิต หรือปฏิสนธิวิญญาณเข้ามาด้วยนอกเหนือจากองค์ประกอบฝ่ายรูปธรรม

แต่ถ้าคำถามนี้ย้อนไปถึงชีวิตแรกสุดหรือมนุษย์คนแรกสุดว่ามาจากไหน เริ่มต้นกันอย่างไร ทั้งวิทยาศาสตร์และพระพุทธศาสนามิได้ให้คำตอบไว้โดยเฉพาะพระพุทธศาสนานั้นไม่เอ่ยถึงแนวความคิดเรื่อง “ปฐมเหตุ” (The First Cause)

หากแต่สอนเรื่องปฏิจจสมุปบาท หรือกฎแห่งปัจจัยสัมพันธ์ ซึ่งแสดงว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาลอยๆ โดยไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย ไม่มีสิ่งใดอยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง โดยไม่เป็นเหตุปัจจัยเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสิ่งอื่น และไม่มีสิ่งใดเป็นเหตุโดยสิ้นเชิง เป็นผลโดยสิ้นเชิง

เพราะเท่าที่เห็นและเป็นอยู่ เหตุกลายเป็นผล ผลกลายเป็นเหตุตลอดเวลา ในวงเวียนแห่งเหตุและผลนั้น ย่อมไม่มีช่องที่จะเกิด “ปฐมเหตุ” หรือสิ่งแรกสุดได้

กระนั้นก็ตาม ศาสนาที่เชื่อเรื่องจุดเริ่มแรกสุดก็ได้บัญญัติปฐมเหตุของสรรพสิ่งไว้ และสืบทอดความเชื่อนี้กันต่อมา ปฐมเหตุของสรรพสิ่งก็คือ พระผู้เป็นเจ้า (God) หรืออัลเลาะฮ์ (Allah) ดังหลักฐานต่อไปนี้

มติศาสนาคริสต์กล่าวว่า “คนคือส่วนหนึ่งของสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสร้างมา และเหมือนกับสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น คนไม่มี “ความเป็น” ที่เป็นของตัวเอง เขาเกิดมาจากความเปล่าได้รับชีวิตจากพระเจ้า เขาขึ้นอยู่กับพระผู้สร้าง ไม่มีอะไรเป็นของตนเองเลย ทั้งหมดนี้เป็นแนวคิดของปรัชญาศาสนา ที่ปิตาจารย์ และนักปรัชญาในสมัยกลางได้ใช้”

“คนและจักรวาลจึงมีความสัมพันธ์กันในฐานะที่เป็น “ฉายาของพระเจ้า” ด้วยกัน นักปราชญ์สมัยกลางได้พยายามอธิบายเรื่องนี้ โดยอาศัยประสบการณ์ของบรรดาผู้มีญาณล้ำลึก ซึ่งนิยมปรัชญาเพลโตใหม่ในการอธิบายความเชื่อ พวกเขาพูดถึงคนในลักษณะที่เป็น “จุลจักรวาล” (Microcosmos) หมายความว่า คนในธรรมชาติของกายและจิตเป็นที่รวมของแบบชีวิตทั้งหลายขององค์ประกอบต่างๆ ของพลังจักรวาล คนเป็นสิ่งที่พระเจ้าสร้างมาให้มีลักษณะซับซ้อนและสมบูรณ์ที่สุด ลำดับชั้นของความสมบูรณ์ของสิ่งทั้งหลายเป็นดังนี้คือ ขั้นพื้นฐานที่สุดคือ ดิน หิน แร่ธาตุทั้งหลายซึ่งไม่มีชีวิต สูงขึ้นมาคือพืช ต่อไปคือสัตว์และที่สุดคือคนเอง สิ่งที่เป็นลักษณะของแร่ธาตุ พืช สัตว์ ล้วนมีอยู่ในคนทั้งสิ้น ซึ่งขมวดเอาลักษณะเหล่านี้เข้าด้วยกัน พร้อมลักษณะพิเศษของตนเองหรือปัญญา จิตใจ อันเนื่องมาจากลมแห่งชีวิตที่พระเจ้าได้ให้แก่คนเท่านั้น”

มนุษย์คู่แรกสุด หรือบรรพบุรุษของมนุษยชาติก็คืออาดัมกับอีวา พระเจ้าสร้างอาดัมจากดิน และสร้างอีวาจากซี่โครงของอาดัม

ศาสนาอิสลามได้มีโองการเกี่ยวกับเรื่องนี้ดังต่อไปนี้

40 : 68 “พระองค์คือผู้ทรงให้เป็น และทรงให้ตาย ครั้นเมื่อพระองค์ทรงกำหนดกิจการใด ดังนั้น เพียงแต่พระองค์ตรัสแก่มันว่า จงเป็น แล้วมันก็เป็นขึ้นมา”

38 : 71-72 “เมื่อพระอภิบาลของเจ้าตรัสแก่มลาอิกะฮ์ว่า แท้จริงฉันจะสร้างสามัญชนคนหนึ่งจากดิน ดังนั้น เมื่อฉันทำให้เขาสมบูรณ์แล้ว และฉันได้เป่ารุฮ์ของฉันสู่เขา พวกเขาก็ก้มลง นบนอบต่อเรา”

64 : 3 “พระองค์ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนี้ด้วยความจริง และทรงทำให้สูเจ้า (มนุษย์) เป็นรูปร่าง และทรงทำรูปร่างของสูเจ้าให้ดียิ่ง และยังพระองค์คือ การกลับไปในบั้นปลาย”

64 : 23 “จงกล่าวเถิด พระองค์ผู้ทรงบังเกิดสูเจ้าและทรงให้สูเจ้ามีหู มีตาและมีหัวใจส่วนน้อยเท่านั้น ที่สูเจ้าขอบคุณ”

จากโองการนี้ (และอื่นๆ อีก)

แสดงว่าต้นกำเนิดชีวิตที่แท้จริงตามหลักคำสอนอิสลาม คือ อัลเลาะฮ์ (หรืออัลลอฮ์) อัลเลาะฮ์เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งและมนุษย์ขึ้นมา

และมนุษย์ที่ทรงสร้างขึ้นมาอาจมีลักษณะร่วมกับสิ่งมีชีวิตอื่น เช่น พืช และสัตว์

แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้มนุษย์พิเศษกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นที่อัลเลาะฮ์สร้างมาคือ การได้รับ “รุฮ์” จากอัลเลาะฮ์

รุฮ์ แปลกันว่า “วิญญาณ” ข้อความที่ว่า พระองค์ทรงเป่า “รุฮ์” เข้าสู่ร่างมนุษย์ บ่งชี้ว่าชีวิตของมนุษย์มีคุณภาพเหนือกว่าสัตว์โลกทั้งหลาย

อัล-กุรอาน มิได้ระบุว่า อาดัมกับเฮาวาฮ์ (อีวา) เป็นคนคู่แรกสุด

แต่นักการศาสนาชาวมุสลิมคนหนึ่งยืนยันว่า “อาดัมกับเฮาวาฮ์เป็นบรรพบุรุษของคนแน่นอน”

แม้ว่าการสร้างของอัลเลาะฮ์จะไม่เป็นขั้นตอนตามทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ มุสลิมเชื่อมั่นใน “คำสอน” ของเขาอธิบายว่า

“หากพิจารณาในแง่ศาสนาแล้ว แม้แต่เนรมิตคนขึ้นมาในลักษณะที่สมบูรณ์ในช่วงเวลาใด ให้เป็นต้นตระกูลของคนโดยไม่ต้องมีวิวัฒนาการจากชีวิตขั้นต่ำอื่นๆ ก็เป็นไปได้ด้วยอำนาจของอัลเลาะฮ์”

สําหรับพระพุทธศาสนา ถ้ากล่าวโดยรวบยอดว่า “คนเกิดจากกรรม” (กมฺมโยนิ) ก็จะทำให้เข้าใจถึงความเชื่อพื้นฐานว่า มนุษย์เราทุกคนเกิดมาด้วยอำนาจกรรมที่ตนได้กระทำไว้

กรรมที่ทำไว้ทั้งดีและชั่วจะเป็นตัวจัดสรรทำให้คนเกิดมาดีหรือชั่วเป็นสุขหรือเป็นทุกข์

กรรมเป็นสิ่งที่มนุษย์ “เลือก” ทำขึ้นมาเอง เพราะฉะนั้น ในเรื่องชะตาชีวิตของมนุษย์นี้ มนุษย์เป็นผู้กำหนดเอง ไม่ใช่พระเจ้าหรืออำนาจสูงสุดใดๆ กำหนดหรือจัดสรรให้

พูดง่ายๆ มนุษย์จะเกิดเป็นอะไร ก็เพราะตัวเองได้สร้างเหตุปัจจัยอันจะให้ผลเช่นนั้นไว้ก่อนแล้ว

แม้เกิดมาแล้วเขาจะเป็นคนเช่นไร เป็นคนดี คนชั่ว คนโกง คนฉลาด ฯลฯ เขาก็สามารถสร้างสรรค์ฝึกปรือเอาได้ด้วยตัวของเขาเอง

ถ้าจะกล่าวโดยละเอียด คนจะเกิดมาต้องประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 ประการ คือ

– บิดา-มารดาร่วมกัน

– มารดามีไข่สุกพร้อมจะผสม

– คันธัพพะก้าวลงสู่ครรภ์

คันธัพพะ ในที่นี้หมายถึงวิญญาณ หรือจิตหรือกลุ่มพลังงานจิต คันธัพพะมีปัจจัยประกอบ 3 คือ กรรมที่สัตว์ทำไว้เปรียบเหมือนที่นา วิญญาณเปรียบเหมือนเมล็ดพืช และตัณหาเปรียบเหมือนยางเหนียวในพืช

สรุปแล้วต้องมีองค์ประกอบทั้งฝ่ายรูปธรรมและฝ่ายนามธรรม การเกิดจึงมีได้ ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ ดังข้อความในมหานิทานสูตร ว่า

พ. “ดูกรอานนท์ ถ้าวิญญาณจักไม่หยั่งลงในครรภ์มารดา นามรูปจะพึงสถิตในครรภ์มารดาได้หรือไม่”

อ. “ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า”

พ. “อานนท์ ถ้าวิญญาณครั้นหยั่งลงสู่ครรภ์มารดาแล้ว จักออกไปเสีย นามรูปจักพึงบังเกิดขึ้นเพื่อความเป็นอย่างนี้ (จักเกิดและเจริญดังที่เห็นนี้) ได้หรือไม่”

อ. “ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า”

พ. “อานนท์ ถ้าวิญญาณของผู้เยาว์ ไม่ว่าชายหรือหญิง จักขาดตอนเสีย นามรูปจักพึงถึง ความเจริญงอกงามไพบูลย์ได้หรือไม่”.

อ. “ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า”

องค์ประกอบทางรูปธรรมนั้น บิดา-มารดาเป็นผู้เตรียมไว้โดยกรรมวิธีร่วมเพศ บิดาจะปล่อยเชื้อชีวิตชายเข้าไปผสมกับไข่ของหญิง เชื้อชีวิตชายเป็นเพียงชีวิตรูปหนึ่ง ซึ่งยังไม่มีองค์ประกอบทางวิญญาณเลย ยังไม่ถึงขั้นจะเรียกว่า “สัตว์” หรือ being เสียด้วยซ้ำ

เพราะถ้าเป็นสัตว์ที่มีทั้งรูปและนามแล้ว ถูกความเย็นจัดหรือร้อนจัดจะถึงแก่ความตาย

แต่เราอาจเอาตัวเชื้อชายแช่ไว้ในอุณหภูมิต่ำ ลบหลายๆ ร้อยองศาเซลเซียส แล้วเก็บไว้เป็นเวลาหลายๆ ปีได้ เมื่อนำออกมาเพิ่มอุณหภูมิให้ถึงขั้นปกติ ตัวเชื้อชายจะกลับมีชีวิตขึ้นมาแหวกว่ายไปมาได้อย่างเดิม

ในพระสูตรต่างๆ พูดถึงลักษณะต่างๆ ของรูป มักมีศัพท์ว่า มาตาเปติกสมฺภโว (เกิดแต่มารดา-บิดา) อยู่ด้วยเสมอ แสดงว่าบิดา-มารดาเป็นผู้เตรียมรูปกายไว้

เมื่อผสมกันแล้ว รูปกายขั้นต้นที่เรียกว่ากลละ ก็เกิดขึ้น และพัฒนาต่อไปตามกลไกของมัน

ในด้านนามธรรม หรือด้านจิตวิญญาณนั้น เมื่อจุติจิตดับลง (คือเมื่อคนตายลง) ปฏิสนธิวิญญาณก็เกิดขึ้นทันที

เกิดขึ้นด้วยการสร้างสรรค์ของพลังกรรม ปฏิสนธิวิญญาณนั้น จะมีคุณสมบัติแตกต่างกันตามกรรมที่ทำไว้

มันจะเข้าสู่ร่างกายที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับมัน การเข้าสู่รูปกายในครรภ์มารดานั้น จะไม่มีการเลือกสรรใดๆ ทั้งสิ้น จะเป็นไปเองตามหลักแห่ง “สิ่งคล้ายกันจะดึงดูดกัน” คือปฏิสนธิวิญญาณเข้าผสมกับองค์ประกอบทางรูปธรรม สัตว์ในครรภ์จะเกิดขึ้นและพัฒนาไปตามลำดับ

ถ้าหากปฏิสนธิวิญญาณมีอันต้องจุติไปในระหว่าง สัตว์ในครรภ์จะหยุดเติบโตโดยอัตโนมัติแล้วหลุดออกจากครรภ์ ซึ่งเรียกว่า “แท้ง”

ดังพุทธวจนะที่ตรัสแก่พระอานนท์ข้างต้นนั้น