เสธ.แมว อ่านเกมกองทัพ-อำนาจเก่า ทำไมสุทินถึงทิ้งบอมบ์? และยากที่รัฐบาลเพื่อไทยจะกลับมาครองใจ ปชช.

พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาฯ สมช. อ่านเกมการเมืองเรื่องการปรับ ครม.เศรษฐา ทวีสิน โดยมองว่าพรรคร่วมจับกันแบบหลวมๆ ตามผลประโยชน์ เพราะว่าไม่ได้มาตามเจตนารมณ์ประชาชน เพราะผลการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยไม่ได้มีความเบ็ดเสร็จเหมือนในอดีตที่สูงถึง 200-300 กว่าเสียง แต่นี่แค่ 141 เสียง ฉะนั้น มันเป็นคำตอบอยู่แล้วว่าเป็นการจับมือกันด้วยผลประโยชน์

ซึ่งการปรับคณะรัฐมนตรี ก็เป็นแบบเดิมๆ สไตล์พรรคเพื่อไทยที่เอามาใช้ แต่ในบริบทสถานการณ์การเมืองปัจจุบัน การปรับแบบนี้ มันก็อีหรอบเดิม ตัวแสดงแบบเดิมๆ

หมายความว่ามันยังเป็นสมการที่พูดคุยกันในเฉพาะนักการเมืองแต่ไม่ใช่สมการที่มีประชาชนเป็นจุดศูนย์กลาง

โฟกัสไปที่ชื่อของ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข และ สุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ที่ถูกโฟกัสว่าจะหลุด ก็ถือว่าเป็นความโชคร้ายของทั้ง 2 คนที่เสียสละมา แต่เสียสละมาบนความผิดหลักการ คือไปเป็นกองหน้าในการเสียสัตย์เพื่อชาติเพื่อให้เกิดรัฐบาลข้ามขั้ว

ฉะนั้น แผลเป็นตรงนี้เหมือนมะเร็งร้ายที่ติดมากับ 2 คนนี้ ทำให้ภาวะการนำไปปฏิบัติในหน้าที่รัฐมนตรีในเชิงนโยบาย ก็จะมีภาพเหล่านี้บดบัง พอสื่อสารอะไรออกไปในเชิงนโยบาย กลายเป็นไม่ได้รับความเชื่อถือจากสังคม เพราะกลายเป็นพูดแล้วคนไม่เชื่อถือ จึงต้องทำงานหนัก 3-4 เท่า

แต่ในขณะเดียวกันองค์ประกอบมันก็ไม่เอื้อที่จะมีพลัง เลยกลายเป็นออกมาในรูปแบบรัฐมนตรีต่างตอบแทนที่คุณอุตส่าห์เป็นกองหน้าให้ก็ตอบแทนกันไป แต่ถ้าจะหวังผลบอกให้เป็นต่อ อย่าเปลี่ยนขุนศึก คือศักยภาพของขุนศึกมันไปไม่ได้ก็ต้องเปลี่ยน

ก็เข้าไปอีหรอบเดิมของพรรคเพื่อไทยคือการเปลี่ยนต่างตอบแทน

 

การทิ้งระเบิดของ รมว.สุทิน

กรณีข้อเสนอแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.การจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม เพื่อนำไปสู่การป้องกันรัฐประหารของนายสุทินนั้น อดีตเลขาฯ สมช.มองว่า เห็นชัดเลยว่า ความสัมพันธ์ที่เคยมีคนพูดกันแล้วตอนนี้สังคมเชื่อไปหมดแล้ว ว่ารัฐบาลต้องมีดีลลับ ไม่งั้นมันเกิดไม่ได้ ส.ว.มายกมือให้ ข้ามขั้วไม่ได้ สิ่งที่สำคัญที่สุด แบบชัดๆ เลยคือมิติงานความมั่นคงฝ่ายอำนาจเก่า ฝ่ายอนุรักษ์ต้องการคุมจริงๆ คนเลยจับตาพรรคเพื่อไทยว่ามีมนต์ขลังหรือไม่มี เพราะชื่อ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ มันโผล่มาตั้งแต่ตอนที่ตั้งรัฐบาลครั้งแรกแล้ว แต่ก็ถูกต้าน

พอตอนนี้คล้ายๆ สถานการณ์ซาแล้วจะเอากลับขึ้นมาใหม่ เป็นแค่รัฐมนตรีช่วย โดยมาจากโควต้ารวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ยังมีความมุ่งหมายที่จะเดินไปแบบนี้ แต่คำตอบก็คือว่า ถ้า พล.อ.ณัฐพลได้ยิ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่า “ดีลมีมนต์ขลังบางๆ อยู่”

แต่ถ้า พล.อ.ณัฐพลหลุดไม่ได้ แสดงว่าพรรคเพื่อไทยพอที่จะมีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น

สิ่งที่ รมว.สุทินเสนอมันสะท้อนให้เห็น 2 มุม บางมุมก็บอกกำลังโชว์ฟอร์มว่า เพื่อไทยมีแต้มต่อเหนือกว่า บางคนก็บอกว่าท่านสุทินออกมาเพื่อที่จะทิ้งระเบิดซะเลย ไหนๆ ก็จะหลุดแล้ว

 

พล.ท.ภราดรมองว่า หัวใจที่จะจัดการปัญหาไม่ให้เกิดรัฐประหารในอนาคต คือต้องให้ “กองทัพ” เป็น “ทหารอาชีพ” มีสำนึกประชาธิปไตย แล้วหลังจากนั้นก็มีมาตรการอื่นๆ มาบังคับวิถีไม่ให้มีอำนาจมากเกินไป แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดต้องให้ทหารมีสำนึก สิ่งเหล่านี้มันต้องให้ความรู้กันตั้งแต่การศึกษาในระดับปกติเลย และเข้ามาในสถาบันทหาร แล้วก็มีมาตรการในเรื่องของโครงสร้างการบังคับบัญชา ต้องไม่ให้อำนาจเบ็ดเสร็จ คุณปรับย้ายได้แค่ระดับไหนเพื่อให้มันคานอำนาจซึ่งกันและกัน และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเรื่องผลประโยชน์ ทหารพาณิชย์ต้องอย่าให้มีอยู่!

การจะทำให้ไม่เกิดการรัฐประหารก็เกี่ยวข้องกับกระบวนการตุลาการด้วย เพราะถ้าตุลาการบอกว่าการรัฐประหารไม่ชอบธรรม ไม่ใช่รัฏฐาธิปัตย์ มีความผิด ไม่เป็นไปตามครรลองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และการสร้างสำนึกจริงๆ ควรจะเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญเลยด้วยซ้ำ

ดังนั้น มองไปที่คุณสุทินก็น่าเห็นใจท่านเพราะมาเป็นรัฐมนตรีที่ไม่สามารถจัดฝ่ายอำนวยการตัวเองได้ ก็คือไม่มีพลัง แล้วถ้า พล.อ.ณัฐพลมาจริงๆ กองทัพก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะดูจากประวัติการทำงาน คือมือไม้คนหนึ่งของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ยังอยากมารักษา มากุมสภาพของทางทหารไว้

และแน่นอนที่สุดมันจะไปสัมพันธ์เกี่ยวกับการโยกย้ายนายทหารชั้นนายพลเหมือนเป็นตัวแทน พล.อ.ประยุทธ์นั่นแหละ

ถ้าคุณเศรษฐา ทวีสิน มานั่ง รมว.กลาโหมเองมันก็ไม่ได้มีผลอะไร แค่ใช้บารมีที่เป็นนายกรัฐมนตรี ให้กุมสภาพไปได้ระดับหนึ่ง

ดังนั้น การปรับ ครม.ครั้งนี้ เหมือนเดินบนถนนที่ขรุขระ ไม่มีทางราบรื่นเลย เพราะไม่ได้มาตามเจตนารมณ์ประชาชน อุปสรรคมันจะมีตลอดเวลา และผลสัมฤทธิ์ที่คาดหวัง “ยาก” เพราะชื่อที่ปรากฏออกมาก็เหมือนชื่อเดิม แต่โยกซ้ายไปขวา ขวาไปซ้ายบ้าง ชื่อเพิ่มเติมใหม่ก็ไม่ได้ทำให้ประชาชนมีความคาดหวังและสมหวังได้

ฉะนั้น มันก็อีหรอบเดิมไม่ได้มีพัฒนาการอะไร

อดีตนายกฯ จะทำให้เพื่อไทยกลับมาแข็งแกร่งขึ้นได้?

พรรคเพื่อไทยสำคัญตนผิดกันไปเองคิดว่าจะเป็นเช่นนั้น บริบททางการเมืองปัจจุบันมันเปลี่ยนไปแล้ว สภาพแวดล้อมมันเปลี่ยนไป ฉะนั้น การที่อดีตนายกฯ มา ก็เหมือนเกิดสีสันขึ้น แต่ผลสัมฤทธิ์ที่คิดว่าจะบริหารจัดการได้แบบในอดีตยากมากเพราะว่าเราต้องยอมรับว่าคนรุ่นใหม่นับถอยไป 5-10 ปี แทบไม่ได้รู้จักท่านนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เลย พอมารู้จักตอนนี้กลายเป็นภาพลบมากกว่าบวก กลายเป็นอภิสิทธิ์ชนซะอีก

การฟื้นศรัทธาและความนิยมให้เหมือนยุคไทยรักไทย ทำได้ยาก เพราะถ้าเรามองลึกลงไปบุคลากรที่เป็นแกนหลักยังเป็นชุดเดิมแนวเดิม ทั้งที่บริบทของสภาวะแวดล้อมทางการเมืองและการบริหารประเทศมันเปลี่ยนไปแล้ว ต้องยกเครื่องใหม่

ตรงนี้คือความโชคร้าย พรรคมีหลากหลายกลุ่มอายุ ถ้าจะทำให้ดีต้องเปลี่ยนผู้แทนปาร์ตี้ลิสต์เป็นคนรุ่นใหม่ๆ แล้วจะทำยังไงให้คนรุ่นเก่าถอยออกไป ซึ่งมันก็ไม่ได้ เพราะนี่คือ “ห้วงสุดท้ายของพวกท่านแต่ละคนแล้ว” ที่ยังคิดว่าตัวเองยังมีขีดความสามารถยังทำได้ ก็ยังเชื่ออย่างนั้น

ฉะนั้น แค่ปรับองคาพยพภายในยังยากเลย แล้วแถมเป็นเสียงส่วนน้อยซะอีกไม่ได้คุมเบ็ดเสร็จ พลังการต่อรองมันก็ยิ่งไม่มี เอาแค่ปัจจัยตรงนี้ไม่สามารถสร้างพลังที่จะขับเคลื่อนไปได้เต็มที่

 

ถ้าก้าวไกลถูกยุบ
อุณหภูมิการเมืองจะเป็นเช่นไร?

มันก็จะไม่ร้อนมากเพราะคนก็เข้าใจแล้วว่าจะยุบยังไงมันก็เกิดใหม่ แล้วมันก็จะเดินของมันไปได้

แต่คนก็เห็นภาพชัดว่า “เฮ้ยความหวังของการเปลี่ยนแปลงมีแน่” เพราะเมื่อมันถูกยุบแล้วมันเกิดขึ้นมา คนเห็นภาพของความเป็นเอกภาพไปอยู่พรรคที่เดียวกันแม้อาจจะกระจัดกระจายไปพรรคอื่นบ้าง แต่มันจะเป็นพรรคที่มีทิศทางทางประชาธิปไตย

ตรงนี้ประชาชนก็คิดว่ายังไงคุณฝืนธรรมชาติไม่ได้หรอก

แล้วสุดท้ายยิ่งคุณขวางกั้นเท่าไหร่ มันก็เด้งกลับแรงเท่านั้น

สภาวะแวดล้อมทั้งปัจจัยภายในและต่างประเทศมันเปลี่ยนไปแล้ว

 

เพื่อน พี่น้อง ในกองทัพ
คิดอย่างไรกับรัฐบาลเพื่อไทย?

คือจริงๆ เพื่อน-น้อง-พี่ที่เป็นทหารอยู่ เขาอยากให้กองทัพมันเป็นทหารอาชีพนะ แต่เขาดูท่วงทำนองกับแนวของรัฐบาลที่เพื่อไทยเป็นแกนนำ เขาก็บอกว่ามันยังไปไม่ได้เพราะไปติดกับดัก ที่ยังไปกลัว “ผีปีศาจของกลุ่มอำนาจเก่า” อยู่

ทั้งที่จริงๆ แล้ว ตราบใดถ้าเรามีประชาชนยืนอยู่ข้างหลัง เราก็จะฝ่าวิกฤตนั้นไปได้เพราะว่าสภาวะแวดล้อมของสังคมของโลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ยิ่งการรัฐประหารเอากลับมาดูใกล้ๆ ประเทศเพื่อนบ้านเราที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด วันนี้เป็นอย่างไรก็เห็นอยู่ สุดท้ายมันเป็นข้ออ้างของพวกกลุ่มผลประโยชน์ของกลุ่มอำมาตย์ที่จะใช้ประโยชน์เท่านั้นเอง ต้องไปดูผู้กำกับการแสดงนั้นคือใคร? เพราะผู้กำกับฯ มันก็เกี่ยวข้องกับพวกอำนาจเก่าแล้วก็กลุ่มทุนเก่าทุนใหญ่ๆ ใหญ่มากๆ ฉะนั้น มันก็เลยต้องสร้างภาพปีศาจหลอนกันอยู่อย่างนี้

ตอนนี้สิ่งที่เราเห็นเกิดขึ้นอย่าง “กรณีบิ๊กโจ๊ก” ที่มีการเขย่า ถือว่าเป็นตัวละครที่ทำให้ฝ่ายอำนาจเก่าและอนุรักษ์เข้ามาติดกับดักด้วย

เดิมทีฝ่ายทางปีกพรรคเพื่อไทยติดกับดักมีแค่ท่านทักษิณเป็นตัวประกัน แต่ปัจจุบันมันเกิดตัวประกันทั้ง 2 ฝ่ายแล้ว บิ๊กโจ๊กก็เปรียบเหมือนหนุมานอาสา มาทำให้เกิดตัวประกัน แต่สถานการณ์ตอนนี้พอดีเล่นเกินบทไปก็เลยจะโชคร้ายซะอีก คดีของบิ๊กโจ๊กเนี่ยต้องดูให้ดี ถ้าบิ๊กโจ๊กไม่รอด ผบ.ตร.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ก็มีโอกาสไม่รอด เพราะแนวคดีมันเป็นแนวเดียวกัน แต่จะยาวนาน ช้านานแค่ไหนไม่รู้ แต่บิ๊กโจ๊กโชคร้ายหน่อยเพราะไม่ได้มีคดีเดียวไง

ยิ่งการมีจดหมายหลุดอ้างอิงถึงชื่อ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” จะยิ่งเป็นความท้าทายมาก และสุ่มเสี่ยงมากถ้าการอ้างตรงนี้นำไปสู่การที่จะทำให้บิ๊กโจ๊กได้ชัยชนะ แต่ถ้าอ้างแล้วไม่นำไปสู่ชัยชนะ อันนี้จะอ่วมเลย เรียกว่าเกมวัดใจเลยก็ได้ที่เหมือนจะลากกันมาทั้งหมดเลย

ชมคลิป