ยิ่งยุบก้าวไกล ยิ่งทำลายระบอบประเทศ

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

บทความพิเศษ | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์

https://www.facebook.com/sirote.klampaiboon/

 

ยิ่งยุบก้าวไกล

ยิ่งทำลายระบอบประเทศ

 

ตรงข้ามกับความเชื่อว่าการเมืองหลังเลือกตั้งจะเป็นช่วงเวลาที่ความหวังเรืองรองทั่วไทย ประเทศไทยขณะที่การเลือกตั้งกำลังจะครบ 1 ปี กลับอยู่ในบรรยากาศที่ความหวังหายากยิ่งกว่าฝุ่นพิษ PM 2.5 ถึงขั้นที่ตัวเลขเศรษฐกิจและความจริงบนท้องถนนไม่มีสัญญาณอะไรดีขึ้นเลย

ในแง่การเมือง ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของ กกต.เรื่องยุบพรรคก้าวไกลไปในวันที่ 4 เมษายน พรรคก้าวไกลมีเวลาชี้แจง 15 วันหลังได้หนังสือจากศาล และแหล่งข่าวระดับสูงของพรรคก้าวไกลบอกผมว่าอาจขอเวลาชี้แจงจากศาลเพิ่มอีก 15 วัน ซึ่งแปลว่าคำชี้แจงจากก้าวไกลต้องจบในวันที่ 4 พฤษภาคม

ถ้าเป็นแบบนี้ ไทม์ไลน์ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยคดียุบก้าวไกลก็จะเริ่มต้นไม่เกินกลางเดือนพฤษภาคม

ความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นคือศาลรัฐธรรมนูญจะให้พรรคก้าวไกลได้สู้คดียุบพรรคหรือไม่ จะยอมให้มีการไต่สวนข้อเท็จจริงตามที่พรรคก้าวไกลขอหรือเปล่า

หรือจะตัดสินคดีโดยดูแค่คำร้องยุบพรรคของ กกต.

 

ก้าวไกลชนะเลือกตั้งโดยไม่มีมลทินเรื่องโกง ยิ่งกว่านั้นคือเป็นพรรคที่ชนะอันดับ 1 โดยมีคนเลือก 14 ล้าน, ได้คะแนน ส.ส.บัญชีรายชื่อสูงสุดแทบทุกจังหวัด และเป็นพรรคที่ชาวบ้านมองว่าถูกโกงจนไม่ได้ตั้งรัฐบาล

การตัดสินคดีโดยไม่ให้ชี้แจงจะจุดชนวนความไม่พอใจวงกว้างอย่างแน่นอน

ยิ่งเทียบก้าวไกลที่ทำอะไรก็ผิดกับเพื่อไทยที่ถูกมองว่าทำอะไรก็ถูก การยุบพรรคที่จะกำจัดพรรคชนะอันดับ 1 และตัดสิทธิแคนดิเดตนายกฯ ที่ชนะถล่มทลายตั้งแต่ผลเลือกตั้งจริงๆ และผลสำรวจความเห็นทุกโพล ภาพคุณทักษิณ ชินวัตร เดินเฉิดฉายขณะคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถูกตัดสิทธิจะสร้างความไม่พอใจทวีคูณ

ต่อให้พรรคก้าวไกลจะแปรรูปเป็นก้าวใหม่หรือพรรคอื่น ชะตากรรมที่เกิดกับคุณพิธาและคุณชัยธวัช ตุลาธน เหมือนคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และปิยบุตร แสงกนกกุล จะมีผลให้ความไม่พอใจต่อรัฐบาลเพิ่มขึ้นแน่

ส่วนระดับความไม่พอใจจะมากแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาลดูด ส.ส.มากขนาดไหน และคุณทักษิณทำอะไรเท่านั้นเอง

ยิ่งคุณทักษิณเดินสายโดยพบรัฐมนตรีพลังประชารัฐ และ ส.ส.พรรคไทยสร้างไทย แนวโน้มของรัฐบาลย่อมเดินหน้าสู่การไล่ดูด ส.ส.พรรครัฐบาลและพรรคฝ่ายค้านมาอยู่เครือข่ายคุณทักษิณยิ่งขึ้น

ความไม่พอใจกระบวนการนี้จะยิ่งดันเพดานความไม่พอใจรัฐบาลให้สูงกว่าเดิม

 

ไม่ว่ารัฐบาลจะรู้ตัวหรือไม่ วิธีทำงานการเมืองแบบนี้ทำให้สำนึกว่ารัฐบาลสนใจแต่การจัดสรรผลประโยชน์รุนแรงขึ้น คนรุ่นใหม่มองว่าการเมืองแบบนี้ไม่มีประชาชนในสมการมากขึ้น และในที่สุดคือความรู้สึกว่าประเทศไทยภายใต้อำนาจรัฐแบบนี้ไม่มีความหวังอะไรเลย

รัฐมนตรีบางคนบอกผมที่สภาในวันอภิปรายซักฟอกว่าทำนโยบายดีๆ เดี๋ยวคนก็รู้สึกดีขึ้นมาเอง

แต่ประเด็นคือคำว่า “นโยบายที่ดี” ของรัฐบาลกับประชาชนอาจไม่เหมือนกัน เพราะรัฐบาลประเมินว่าอะไรคือนโยบายที่ดีจากโครงการบนแผ่นกระดาษ แต่ประชาชนคิดถึงผลที่เกิดจริงๆ

ยกตัวอย่างง่ายๆ รัฐบาลนี้ผลักดันซอฟต์เพาเวอร์โดยอ้างว่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยดี แต่ข้อเท็จจริงคืองบประมาณซอฟต์เพาเวอร์เป็นตัวเลขที่ต้องดึงเงินจริงมาจากกระทรวงต่างๆ จะดึงได้หรือไม่ยังไม่รู้ และดึงแล้วจะสร้างงานใหม่ได้ 20 ล้านตำแหน่งอย่างคุณแพทองธาร ชินวัตร หาเสียงหรือไม่ยิ่งไม่รู้เลย

กว่าที่ซอฟต์เพาเวอร์จะกลายเป็นเงินเข้ากระเป๋าประชาชนยังไม่ง่าย ถึงจะอ้างว่ากางเกงช้างขายดี แต่ยอดขายกางเกงช้างคงไม่ทำให้คนจนมีชีวิตที่ดีขึ้นมากนัก ไม่ต้องพูดว่ากางเกงช้างจำนวนมากเป็นกางเกงจีน โอกาสที่เงินในกระเป๋าประชาชนจะเพิ่มจึงยากกว่าที่รัฐบาลคุย

 

สําหรับคนเป็นรัฐบาล โจทย์ยากคือจะทำให้ประชาชนมีความหวังอย่างไรในเวลาที่เม็ดเงินในกระเป๋าประชาชนไม่พัง รัฐบาลเล่นเกมการเมืองเพื่อกินรวบอำนาจ แคนดิเดตนายกฯ อันดับ 1 ถูกตัดสิทธิ และพรรคที่ชนะเลือกตั้งถูกยุบพรรคหลังจากถูกสกัดไม่ให้ตั้งรัฐบาล

ล่าสุด ธนาคารโลกปรับลดอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทยปี 2567 เหลือที่ 2.8% จากเดิม 3.2% และต่อให้จะกู้เงินแจก 5 แสนล้านก็จะทำให้เศรษฐกิจโตเพิ่มขึ้นอีกแค่ 1% แต่หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น 2% ซึ่งฟังแล้วทำให้เห็นว่าแผนกู้เงินแจกไม่มีเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์ให้ทำต่อไปเลย

เมื่อคำนึงว่าเศรษฐกิจไทยยุคคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา ปีสุดท้ายโต 2.6% ตัวเลขเศรษฐกิจไทยปี 2567 ก็เข้าข่ายใกล้โตต่ำกว่ายุคคุณประยุทธ์ไปแล้ว ข่าวร้ายคือนี่เป็นสัญญาณอันตรายว่าจะเกิดการแพร่ระบาดของความเชื่อว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่ได้คิดใหญ่ทำเป็นอย่างที่หาเสียง และไม่ได้หาเงินได้ใช้เงินเป็นอย่างที่คุย

พรรคเพื่อไทยมักโจมตีว่าคุณประยุทธ์ทำให้เศรษฐกิจไทยพังเหมือนกบที่ถูกต้มจนตายโดยไม่รู้ตัว แต่ก็เป็นคนของเพื่อไทยยุคคุณเศรษฐาที่ยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยวันนี้เหมือนกบต้มที่ถูกต้มต่อ แม้ไม่มีคุณประยุทธ์

ทั้งหมดนี้ยิ่งตอกย้ำโดยปริยายว่าเศรษฐกิจในรัฐบาลนี้ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

 

คุณเศรษฐาพูดกับนักธุรกิจในที่ประชุมวันที่ 29 มีนาคม ว่าเจ็ดเดือนของรัฐบาลไม่มีความเปลี่ยนแปลง แต่อธิบายต่อว่าใครอยากได้ผลงานก็คอยไปก่อน เจ็ดเดือนมันสั้นเกินไป มีใครจะหาเงินลงทุนได้เป็นแสนล้าน เหมือนกับสร้างคอนโดฯ หรือหมู่บ้านจัดสรรก็ต้องใช้เวลากว่าจะสร้างเสร็จแล้วได้เงิน

ในการตอบคำถามของฝ่ายค้านในสภา คุณจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ก็ระบุว่าเศรษฐกิจตอนนี้ยังไม่ดีจริงๆ ขอให้ทุกคนอดใจรออีกนิด แผนแจกเงินหมื่นจะมีข่าวดีแน่ในวันที่ 10 เมษายน ส่วนสึนามิเศรษฐกิจจะเกิดใน 1-2 ปี ซึ่งเท่ากับเป็นการยอมรับโดยปริยายว่ากว่าเศรษฐกิจจะโตเต็มที่ก็หลังเลือกตั้ง 2-3 ปี

ประเทศไทยมีปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำและกระจายรายได้มากจนเม็ดเงินของประเทศกระจุกที่ชนชั้นนำไม่กี่กลุ่มในสังคม ยิ่งเม็ดเงินโดยรวมของประเทศไม่เพิ่มขึ้นและเศรษฐกิจไม่โตอย่างที่ควรเพิ่ม เม็ดเงินที่จะกระจายไปสู่คนชั้นกลาง, คนชั้นล่าง และคนหาเช้ากินค่ำก็ยิ่งเพิ่มขึ้นยากเหลือ

เพื่อไทยคิดใหญ่ทำเป็นตามที่หาเสียงหรือไม่เป็นเรื่องที่ต่างต่างคิดไม่เหมือนกัน

แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้คือรัฐบาลเพื่อไทยยังไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจไทยใหญ่ขึ้นและคนมีเงินมากขึ้น

ขณะที่รัฐบาลพยายามกระตุ้นความหวังโดยวิธีสร้างข่าวเรื่องโครงการขนาดใหญ่ต่างๆ ขึ้นมาชี้นำกระแสสังคม

หนึ่งปีหลังเลือกตั้งคือหนึ่งปีที่นโยบายเรือธงไม่คืบหน้า ส่วนสิ่งที่คืบหน้าคือนโยบายที่ไม่ได้หาเสียงจนประชาชนไม่ได้โหวตอย่างโครงการแลนด์บริดจ์หลายแสนล้าน และโครงการเปิดบ่อนพนันถูกกฎหมายในสถานบันเทิงครบวงจร

ซึ่งทั้งสองเรื่องเป็นแค่ข้อเสนอระดับรายงานเท่านั้นเอง

 

จุดเด่นของฝ่ายคุณทักษิณสมัยไทยรักไทยคือการตลาดนำการเมือง แต่การตลาดในยุคไหนก็ต้องมีนโยบายและผลลัพธ์ที่จับต้องได้บางอย่างเพื่อนำไปสร้างกระแสการเมืองให้เกิดขึ้น ปัญหาของเพื่อไทยวันนี้คือการทำการตลาดที่นโยบายยังไม่ชัด และผลลัพธ์ยังไม่มีให้เอาไปทำการตลาดเลย

คำอธิบายของรัฐบาลในสภาคืองานของรัฐบาลเป็น Work in Progress ซึ่งจะประเมินได้เมื่อรัฐบาลอยู่ครบเทอม แต่ข้อเท็จจริงคือรัฐบาลหาเสียงว่าคนไทยจะรวยทันทีที่คุณเศรษฐาเป็นนายกฯ พายุหมุนทางเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นทั้งประเทศ ไม่ใช่หาเสียงว่ารอให้เป็นรัฐบาลสี่ปีแล้วเศรษฐกิจถึงโต

การเมืองในสภากำลังจบลงด้วยการอภิปรายของฝ่ายค้านและการปิดสมัยประชุมสภา ศึกนี้จบแบบใครชนะก็ขึ้นอยู่กับถามคนกลุ่มไหนและใช้เกณฑ์อะไรประเมิน

แต่การเมืองเชิงความรู้สึกจะพุ่งแรงทะลุเพดานคู่ขนานกับเข็มนาฬิกาที่หมุนสู่การยุบพรรค และจากนี้จะยิ่งรุนแรงขึ้นกว่าเดิม

เป็นอีกครั้งที่การเมืองไทยเดินหน้าสู่ความเสี่ยงที่ยังไม่มีใครประเมินได้ว่าจะลุกลามขนาดไหนและส่งผลอะไรบ้างทางการเมือง แต่ที่แน่ๆ เส้นทางสู่การครอบครองอำนาจรัฐของรัฐบาลจะขรุขระขึ้น และสายตาที่ประชาชนมองผู้มีอำนาจจะยิ่งเต็มไปด้วยความไม่พอใจกว่าที่เคยเป็น

หวังว่าจะมีสักฝ่ายที่ช่วยประคับประคองประเทศให้เดินหน้า ไม่ใช่มุ่งแต่ประลองอำนาจเพื่อยึดครองประเทศเป็นของตัวเอง