เจาะรถ 2 รุ่นเด่น งาน ‘มอเตอร์โชว์’ 2024 เบนซ์ ‘E-Class’ ใหม่ ซูซูกิ ‘XL7 HYBRID’

สันติ จิรพรพนิต

ยังอยู่ในบรรยากาศงาน “มอเตอร์โชว์” ครั้งที่ 45 จัดถึงวันที่ 7 เมษายน 2567 ที่อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี

ในงานมีรถยนต์และจักรยานยนต์รวม 49 แบรนด์มาออกบูธ

รถใหม่มีอยู่เพียบทีเดียว ทั้งรถยนต์สันดาปภายใน รถพลังงานทางเลือก และรถยนต์ไฟฟ้า

แต่ด้วยเนื้อที่นำเสนอมีจำกัด ขอยกมาแค่บางรุ่นที่เด่นๆ

แบรนด์จากรถยุโรปที่เปิดตัวอย่างอลังการงานสร้างไม่พ้นเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่มีตัวขายสุดจัดคือ “The new E-Class” เจเนอเรชั่นที่ 10

มี 2 รุ่นย่อยคือ “E 220 d AMG Line” และ “E 350 e AMG Dynamic”

รอบคันด้วย AMG Bodystyling

E 220 d AMG Line มาพร้อมไฟหน้า LED high-performance ทำงานร่วมกับระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Adaptive Highbeam Assist

สะดวกสบายด้วย KEYLESS-GO Comfort Package ควบคุมด้วยระบบดิจิทัลผ่านสมาร์ตโฟน

ช่วงล่างติดตั้งล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ต ขนาด 19 นิ้ว ระบบกันสะเทือนแบบ AGILITY CONTROL ช่วยซับแรงกระแทกและทำให้การขับขี่มีความนุ่มนวลยิ่งขึ้น

ส่วน E 350 e AMG Dynamic เด่นด้วยกระจังหน้าแบบเรืองแสง ไฟหน้า DIGITAL LIGHT และระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Adaptive Highbeam Assist Plus

ด้านบนติดตั้งหลังคาพาโนรามิกซันรูฟเลื่อนเปิด-ปิด ด้วยระบบไฟฟ้า ยกระดับเทคโนโลยีด้วย Heat and noise-insulting acoustic glass ช่วยสะท้อนความร้อน ป้องกันรังสีอินฟาเรดและเสียงสะท้อนจากภายนอก

ล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตจาก AMG ขนาด 20 นิ้ว ที่ออกแบบให้มีการลดอากาศหมุนวนบริเวณด้านข้างล้อ

ห้องโดยสารของทั้งสองรุ่นตกแต่งแบบ AMG Interior Package เน้นความสปอร์ตแต่ยังคงความหรูหราตามแบบฉบับของเมอร์เซเดส-เบนซ์

ควบคุมทิศทางการขับขี่ด้วยพวงมาลัย Multifunction sports steering เบาะหนังสีดำ มาพร้อมระบบปฏิบัติการ MBUX เจเนอเรชั่นที่ 3 พร้อมกล้อง Selfie สำหรับการประชุมงานหรือเพิ่มความบันเทิง

ติดตั้งจอ MBUX Superscreen ขนาดใหญ่พิเศษ 14.4 นิ้ว บริเวณแผงคอนโซลกลาง และจอขนาด 12.3 นิ้ว บริเวณผู้โดยสารตอนหน้า

ระบบปรับอากาศ ENERGIZING AIR CONTROL ที่สามารถปรับทิศทางลมได้อย่างอิสระ และฟังก์ชั่นอื่นๆ ที่พร้อมจะมอบความสะดวกสบายอันเหนือระดับไว้อย่างเต็มพิกัด

เทคโนโลยีและความบันเทิง E 220 d AMG Line มีไฟเรืองแสง Ambient Lightning Plus กว่า 64 เฉดสี ติดตั้งระบบ MBUX Augmented Reality สําหรับแผนที่นําทาง

ส่วนE 350 e AMG Dynamic มาพร้อม Digital Vent Control ช่องแอร์ที่ปรับการทำงานด้วยระบบไฟฟ้า หมุนเวียนอากาศเสมือนมีลมธรรมชาติภายในห้องโดยสาร

พร้อมเทคโนโลยี Head-up display เห็นข้อมูลการขับขี่โดยไม่ต้องละสายตาจากท้องถนน

ระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester 4D Surround Sound System พร้อมลำโพง 21 ตัว ผสานการทำงานร่วมกับเทคโนโลยี Dolby Atmos

ไฟรอบห้องโดยสารแบบ Active Ambient Lighting ที่สามารถปรับแสงสีในห้องโดยสารให้เป็นไปตามจังหวะเพลง

เครื่องยนต์ 2 บล็อก E 220 d AMG Line เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.0 ลิตร 1,993 ซีซี กำลังสูงสุด 197 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร ที่ 1,800-2,800 รอบต่อนาที

อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพียง 7.6 วินาที ทำงานร่วมกับ 48V electrical system (ISG2) 23 แรงม้า 205 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ (9G-TRONIC)

E 350 e AMG Dynamic ระบบปลั๊กอินไฮบริดผ่านเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบ 4 สูบแถวเรียง เมื่อเครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งระบบ มอบกำลังแรงม้ารวมสูงสุด 313 แรงม้า แรงบิดรวมสูงสุด 550 นิวตันเมตร ระบบส่งกำลังแบบ 9G-TRONIC

อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพียง 6.5 วินาที ติดตั้งแบตเตอรี่แรงดันสูงความจุ 25.4 kWh ช่วยให้สามารถขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าได้ไกลมากกว่า 100 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP

รองรับการชาร์จพลังงานไฟฟ้าแบบกระแสตรง (DC Charge) สูงสุด 55 kWh ใช้เวลาชาร์จจาก 0-100% เพียง 30 นาที ส่วนการชาร์จแบบกระแสสลับ (AC Charge) รองรับสูงสุด 11 kWh ใช้เวลาชาร์จจาก 0-100% ในระยะเวลา 2 ชั่วโมง 30 นาที

ระบบความปลอดภัย Driving Assistance Package Plus ในรถยนต์ทั้งสองรุ่น อาทิ ระบบรักษาระยะห่างจากรถด้านหน้าและควบคุมความเร็วอัตโนมัติ

ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ

ระบบพวงมาลัยช่วยผ่อนแรงหักหลบสิ่งกีดขวางระยะกระชั้นชิด

ระบบรักษารถให้อยู่ในช่องทางจราจร และระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา เป็นต้น

E 220 d AMG Line ราคา 3,990,000 บาท

E 350 e AMG Dynamic ราคา 4,250,000 บาท

ในงานยังนำ “E-Class” รุ่นปี 2023 มาลดกระหน่ำสูงสุดกว่า 8 แสนบาทด้วย

ถ้าใครไม่ซีเรียสว่าเป็นรถตกรุ่น บอกเลยว่าคุ้มสุดสุด

ส่วนอีกรุ่นในงานที่มาเปิดตัวอย่างเป็นทางการคือ “NEW SUZUKI XL7 HYBRID”

กระจังหน้าโครเมียมลายใหม่ มาพร้อมกับไฟหน้า LED รีเฟล็กเตอร์ และ Daytime Running Light เสาอากาศแบบใหม่ ออกแบบด้านท้ายให้มีเส้นสายสะดุดตา ลงตัวกับไฟท้าย LED แบบ Light Guides

ติดตั้งสัญลักษณ์ Hybrid บริเวณประตูท้าย

ราวหลังคาสไตล์สปอร์ต บ่งบอกถึงความเป็นรถครอสโอเวอร์

ห้องโดยสารกว้างขวางเบาะนั่งแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง ตกแต่งคอนโซลลายไม้ ผสมผสานกับดีไซน์คอนโซลแบบสปอร์ต

พวงมาลัยเป็นทรง D-Shape มาพร้อมกับปุ่มควบคุมเครื่องเสียงและปุ่มสั่งการโทรศัพท์

มาตรวัดพร้อมจอ LCD แสดงข้อมูลการขับขี่ Driving G-Force และอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง

หน้าจอระบบสัมผัส ขนาด 10 นิ้ว มาพร้อมฟังก์ชั่นเอ็นเตอร์เทนเมนต์ แท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย

ขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ความจุ 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 105 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 138 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบต่อนาที

ทำงานคู่กับมอเตอร์ ISG (Integrated Starter Generator) และแบตเตอรี่แบบ Lithium-ion

โดยมอเตอร์ ISG ช่วยออกตัวได้อย่างนุ่มนวล และเพิ่มกำลังเครื่องยนต์ขณะเร่งความเร็ว

เทคโนโลยีความปลอดภัย อาทิ กล้องมองภาพด้านหลัง ระบบเซ็นเซอร์ถอยหลังพร้อมสัญญานเตือนขณะถอยจอด

ระบบ Hill Hold Control ช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน ระบบ Idling Stop ฯลฯ

มีทั้งแบบสีเดียวและสีทูโทน ราคาช่วงแนะนำ 799,000-814,000 บาท •

 

ยานยนต์ สุดสัปดาห์ | สันติ จิรพรพนิต

[email protected]