เสี้ยวหนึ่ง ของชะตากรรมตัวประกัน ในอุ้งมือฮามาส

--PHOTO TAKEN DURING A CONTROLLED TOUR AND SUBSEQUENTLY EDITED UNDER THE SUPERVISION OF THE ISRAELI MILITARY-- Soldiers walk through what the Israeli army says is a tunnel dug by Hamas militants inside the Al-Shifa hospital complex in Gaza City in the northern Gaza Strip, amid continuing battles between Israel and the Palestinian militant group Hamas, on November 22, 2023. (Photo by Ahikam SERI / AFP)

ผลจากข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราวระหว่างอิสราเอลกับฮามาสที่จบสิ้นลงไปพร้อมกับความหวังว่าจะมีการต่อเวลาของการพักรบเพื่อให้มีการปล่อยตัวประกันแลกกับนักโทษชาวปาเลสไตน์ออกมาเพิ่มเติมก็ดับวูบลงไปด้วยเช่นกันนั้น

จนถึงขณะนี้มีตัวประกันชาวอิสราเอลและชาวต่างชาติ ที่รวมถึงแรงงานไทย ซึ่งถูกกลุ่มฮามาสจับตัวเข้าไปในฉนวนกาซาตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา ได้รับการปล่อยตัวออกมารวมแล้ว 110 คน จากที่ถูกจับไปทั้งสิ้นประมาณ 240 คน

โดยเชื่อว่ายังคงมีตัวประกันที่ยังอยู่ในความควบคุมตัวของกลุ่มฮามาสหรือกองกำลังติดอาวุธปาเลสไตน์กลุ่มอื่นๆ อยู่อีกราว 137 คน ที่ยังไม่มีใครรู้ว่าชะตากรรมของพวกเขาจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร

ส่วนตัวประกันที่ได้รับการปล่อยตัวออกมา ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ผู้สูงอายุและเด็ก ทุกคนต่างอยู่ในสภาพอิดโรย หลายคนยังมีความตื่นตระหนกหวาดกลัวอยู่ในแววตาขณะได้รับการปล่อยตัว ต่างได้รับการตรวจสภาพร่างกายและจิตใจเพื่อรักษาให้แข็งแรงดีขึ้นและกลับคืนสู่อ้อมกอดครอบครัวของตนเองกันแล้วเป็นส่วนใหญ่

แต่เรื่องราวเหตุการณ์เลวร้ายที่พวกเขาต่างต้องเผชิญในช่วงเวลาอันสุดโหดร้ายในชีวิตของพวกเขาจากการถูกกลุ่มนักรบฮามาสจับไปเป็นตัวประกัน เป็นเช่นไรนั้น

เป็นสิ่งที่ผู้คนอยากรู้

 

ต่อไปนี้เป็นคำบอกเล่าของตัวประกันผ่านคนในครอบครัวเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาได้รับการปฏิบัติหรือประสบพบเจอขณะอยู่ในการควบคุมตัวของกลุ่มฮามาส ซึ่งราเชล คลาร์ก นักข่าวซีเอ็นเอ็นรวบรวมข้อมูลและบทสัมภาษณ์มารายงานต่อ ให้เราได้เห็นภาพนั้น

โดยให้ข้อควรระวังด้วยว่าเหตุการณ์ที่ตัวประกันแต่ละคนพบเจอหรือได้รับการปฏิบัติจากฮามาส ตลอดจนสถานที่ที่ถูกกักขังของตัวประกันแต่ละคนมีความแตกต่างกันออกไป

อาดินา โมเช ตัวประกันชาวอิสราเอล วัย 72 ปี ได้รับการปล่อยตัวเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน หลังจากถูกจับเป็นตัวประกันนาน 49 วัน

อียัล นูรี หลานชายของโมเช ถ่ายทอดคำบอกเล่าของโมเช ผู้เป็นป้าของเขาว่า โมเชถูกพาตัวเข้าไปคุมขังไว้ในอุโมงค์ใต้ดิน 5 ชั้น

เธอเดินไปด้วยเท้าเปล่าบนพื้นดินโคลนในอุโมงค์ที่น่าอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออกเป็นเวลาหลายชั่วโมง ก่อนจะถูกขังอยู่ในห้องใต้ดินที่มีแสงไฟส่องสว่างให้เห็นเพียงแค่วันละ 2 ชั่วโมงเท่านั้น

โมเชเป็นหนึ่งในตัวประกันที่ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นที่ด้านบนนอกอุโมงค์ ตัวประกันอย่างเธอได้ยินแต่เพียงเสียงระเบิดที่ดังขึ้นไม่หยุด กระทั่งถึงวันก่อนที่โมเชจะได้รับการปล่อยตัว

 

การบอกเล่าถึงสภาพอุโมงค์ใต้ดินของโมเชเป็นข้อมูลที่สอดคล้องกับ โยเชฟด์ ลิฟชิตซ์ ตัวประกันหญิงชาวอิสราเอล อายุ 85 ปี ซึ่งได้รับการปล่อยตัวออกมาก่อนที่อิสราเอลจะบรรลุข้อตกลงหยุดยิงกับฮามาส ซึ่งให้ข้อมูลเอาไว้หลังได้รับการปล่อยตัว

และเป็นสิ่งที่ทางการอิสราเอลยกมาเป็นหลักฐานสนับสนุนคำกล่าวอ้างของตนเองได้ว่ากลุ่มฮามาสสร้างเครือข่ายอุโมงค์ใต้ดินไว้เป็นที่ตั้งฐานบัญชาการ ซ่องสุมกำลังพลและอาวุธ ตลอดจนเป็นที่กักขังเชลย

โธมัส แฮนด์ พ่อของเอมิลี เด็กหญิงชาวอิสราเอล วัย 9 ขวบ ที่ถูกกลุ่มฮามาสจับตัวไป เชื่อว่าลูกสาวของเขาต้องถูกจับขังไว้ในอุโมงค์ใต้ดินที่ไหนสักแห่งในฉนวนกาซา หลังจากที่เขาได้รู้ว่าลูกสาวของเขาที่เคยคิดว่าน่าจะเสียชีวิตแล้ว ตกเป็นประตัวกัน

แฮนด์เปิดเผยกับซีเอ็นเอ็นถึงสิ่งที่เอมิลีบอกกับเขาหลังได้รับการพาตัวกลับมาสู่อ้อมอกพ่อว่า เอมิลีและเพื่อนของเธอ ฮีลา โรเทม-โชชานี และแม่ของฮีลา ไม่ได้ถูกจับขังไว้ในอุโมงค์ใต้ดินอย่างที่เขาคิด แต่ถูกขังอยู่ในบ้านบนดินหลายหลังที่มีความอันตรายยิ่งเมื่อทหารอิสราเอลบุกโจมตีรุกคืบเข้ามาในฉนวนกาซาลึกมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวประกันอย่างเอมิลีถูกผลัก ดึง ลาก ภายใต้กระสุนปืนที่ถูกสาดยิงเข้ามา

แฮนด์บอกว่าสิ่งที่ทำให้เขาตกใจมากที่สุดหลังได้ตัวลูกสาวกลับคืนมา นั่นก็คือ พฤติกรรมที่เปลี่ยนไป เอมิลีพูดแบบกระซิบ ทำให้ไม่ได้ยิน จนเขาต้องเอียงหูฟังใกล้ริมฝีปากของเธอ นั่นทำให้แน่ใจได้ว่าเธอถูกสั่งไม่ให้ส่งเสียงดัง ทั้งเอมิลีและฮีลาต่างเอาแต่พูดกระซิบแม้จะกลับมาอยู่กับครอบครัวแล้ว

แต่ 3 วันหลังจากนั้นเขารู้สึกว่าได้ยินเสียงของเอมิลีดังขึ้นในระยะห่างประมาณ 1 เมตร แต่หากเอมิลีร้องไห้ เธอจะฝังตัวเองอยู่ใต้ผ้าคลุมเตียงและเอาแต่เงียบ

 

เช่นเดียวกับ เอตัน ยาฮาโลมี เด็กชายอายุ 12 ปี หนึ่งในตัวประกันอิสราเอล ที่เดบอราห์ โคเฮน ป้าของเขาเปิดเผยกับสถานีโทรทัศน์บีเอฟเอ็มทีวีว่า หลานชายถูกสั่งให้อยู่เงียบๆ แม้ในขณะถูกบังคับให้ดูหนังที่ไม่มีใครอยากดู

ขณะที่โอเมอร์ ลูเบตัน กราน็อท ผู้ก่อตั้งกลุ่มตัวประกันและครอบครัวผู้สูญหาย บอกว่าเรื่องราวได้ฟังจากเด็กๆ ที่ถูกจับเป็นตัวประกัน เป็นความจริงอันโหดร้ายที่เหลือเชื่อ เด็กอย่างเอตันถูกเอาปืนจี้หัวขู่หากเขาร้องไห้ เด็กอีกหลายคนถูกฮามาสกรอกหูว่าครอบครัวของพวกเขาตายหมดแล้ว ไม่มีใครต้องการพวกเขา หรือพวกเขาไม่มีบ้านให้กลับไป ซึ่งเป็นความพยายามทำให้เด็กหวาดกลัว

ในเรื่องอาหารการกิน ลิฟชิตซ์ คุณยายวัย 85 ที่กลุ่มฮามาสปล่อยตัวออกมาก่อนตั้งแต่วันที่ 24 ตุลาคม ซึ่งไม่ได้อยู่ในข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราว บอกเล่าว่า ตัวประกันได้รับอาหารแบบเดียวกับผู้คุม

แต่ รูธ มันเดอร์ ตัวประกันสูงวัยอีกราย บอกกับแชนแนลนิวส์ 13 ว่าสถานการณ์เลวร้ายลง จากที่เริ่มแรกผู้คุมนำไก่ ข้าว อาหารกระป๋องและชีสมาให้ตัวประกัน และยังมีของหวานให้เด็กๆ กระทั่งสถานการณ์ย่ำแย่ลงและตัวประกันเริ่มหิวโหย

ขณะที่โมเชบอกว่าในห้องอุโมงค์ใต้ดิน ตัวประกันได้รับเพียงข้าวกับถั่วกระป๋อง แต่พวกเขาพยายามเลี่ยงไม่กินเพื่อไม่ให้ปวดท้อง

ส่วนเอมิลีบอกกับพ่อของเธอว่าตัวประกันได้กินอาหารเช้า และบางครั้งจะได้อาหารกลางวันหรืออาหารเย็นไปเลย

เธอยังบอกว่าการหิวมากจนทำให้เรียนรู้ที่จะชอบกินขนมปังเปล่าๆ จิ้มน้ำมันมะกอก

 

ตัวประกันหลายคนยังต้องใช้เวลารักษาตัวและฟื้นฟูร่างกาย หลังจากได้รับบาดเจ็บจากการถูกฉุดกระชากลากถู ถูกทำร้ายร่างกาย หรือถูกแมลงสัตว์กัดต่อย หรือป่วยในระหว่างถูกกลุ่มฮามาสจับตัวไป

นอกจากนี้ พวกเขาต่างยังได้รับผลกระทบกระเทือนทางด้านจิตใจในระดับแตกต่างกันไป ทั้งจากความรู้สึกวิตกกังวล มีอาการซึมเศร้า ความเครียดหลังผ่านเหตุการณ์สะเทือนใจและความรู้สึกผิดของการรอดชีวิต

หลายคนยังอาจสูญเสียบ้านและอีกหลายคนกลับมาแล้วพบว่าพวกเขาสูญเสียญาติพี่น้องเพื่อนฝูงไปในเหตุโจมตีเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม

บาดแผลความบอบช้ำทางจิตใจเหล่านี้ต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูเยียวยา ซึ่งแต่ละคนอาจใช้เวลามากน้อยแตกต่างกันไป

หรืออาจกลายเป็นแผลฝังใจที่ไม่มีวันเลือนหายก็เป็นได้