“ทักษิณคิด เพื่อไทยเร่ง ก้าวไกลจี้” ดิจิทัลวอลเล็ต “โคตรใหม่” เศรษฐา แจกหมื่นบาทตาม รธน.

เงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ที่เคยเกือบถึงทางตัน รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน พลันคิดตกแทบจะทันทีในห้วงที่ทักษิณ ชินวัตร พักโทษประจำการที่บ้านจันทร์ส่องหล้า

เสียงทักษิณที่ดังผ่านวิดีโอในห้องประชุมใหญ่สามัญประจำปีพรรคเพื่อไทย ที่ว่า “ในวันนี้พรรคเพื่อไทยก็กำลังจะทำดิจิทัลวอลเล็ต โคตรใหม่ ไม่ใช่ใหม่ธรรมดา ฉะนั้น วันนี้เราไม่ได้อยู่กับเรื่องโบราณแน่นอน เพราะโลกเปลี่ยนไป”

จากที่เคยกลับไม่ได้ ไปไม่ถึง ว่าจะออก พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้าน ให้ผ่านด่านสำคัญทั้ง 2 สภา และกฤษฎีกา ธนาคารแห่งประเทศไทย สภาพัฒน์ คาดการณ์ว่าเส้นทางอาจทอดยาวไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ

แต่แล้วรัฐบาลก็มีช่อง-เคลียร์บัญชีงบประมาณรายจ่ายขึ้นมาได้ 2 ปีรวมกัน

แถมพลิกกฎหมาย มาตรา 28 ของ พ.ร.บ.วินัยการเงินและการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 จัดวงเงิน 5 แสนล้าน เป็นช่องทางในการเดินหน้านโยบายหัวหอก ผ่านการประชุมบอร์ดนโยบายเติมเงิน 10,000 ผ่าน Digital Wallet 2 ครั้ง ห่างกันเพียง 15 วัน

 

ก่อนหน้านี้ 7 วัน ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ นักเศรษฐศาสตร์ตัวแม่ประจำพรรคก้าวไกล คาดการณ์ทำนายผลการหาเงินของรัฐบาล เพื่อใช้ในโครงการแจกเงิน 10,000 บาท ไว้ 3 ทาง คือ

ทางแรก แบ่งงบประมาณ 2568 โดย ครม.ประกาศกรอบงบฯ 2568 ใหม่ที่จะต้องขยายเพิ่มอีกจาก 3.6 ล้านล้าน เป็น 3.8 ล้านล้าน ต้องเก็บภาษีเพิ่ม และต้องกู้ชดเชยขาดดุลเพิ่มเป็นเกือบ 9 แสนล้าน

ศิริกัญญาขยายความทางที่สอง ว่า แค่นั้นยังไม่พอ รัฐบาลต้องออกงบฯ กลางปี 2567 โดยขยายการกู้ชดเชยขาดดุลให้เต็มเพดาน 7.9 แสนล้าน และเพื่อจะทำให้ใช้เงินข้ามปีงบประมาณได้ ก็ต้องเอาไปใส่ไว้ในกองทุน ซึ่งน่าจะเป็นกองทุนประชารัฐ (บัตรคนจน) แต่เงินก้อนนี้ก็ยังคงไม่พอใช้ทำโครงการ

จึงต้องเข้าลู่ทางที่ 3 คือ ยืมเงินธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. ตาม ม.28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง “โดยบิดว่าเงินส่วนนี้จะนำไปแจกเฉพาะเกษตรกร ซึ่งน่าจะทำให้เงินกู้ตาม ม.28 ทะลุเพดานกรอบวินัยการคลังไปไกล ต้องออกประกาศขยายเพดานเงินกู้ในเร็ววัน แถมยังต้องเสี่ยงกับ กม.ธ.ก.ส.ที่ไม่ได้ระบุวัตถุประสงค์เอาไว้”

ศิริกัญญา สรุปข้ามช็อตแบบฟันธงขาดสะบั้น ไว้ว่า เป็นการกู้ 3 ต่อเพื่อให้ได้ 5 แสนล้านแบบถูกกฎหมาย ใช่หรือไม่ ? ที่เป็นการตั้งขาดดุลกระฉูด ภาระดอกเบี้ยบาน

รอบนี้ใช้ท่ายากพิสดาร ทำทุกวิถีทางไม่ว่าจะสร้างความปั่นป่วนสับสนอลหม่านขนาดไหน ฉีกทุกกฎ แหกทุกกรอบวินัยการคลัง เพียงเพื่อให้ได้ทำดิจิทัลวอลเล็ตปลายปีนี้

 

ก่อนที่รัฐบาลจะพลิกแพลง มาใช้แท็กติกกฎหมาย คลายล็อกสำคัญที่เคยปิดตาย ด้วยกฎหมายวินัยการเงินและการคลังของรัฐ ฉบับเดียวกันนี้ ในการทำนโยบายจำนำข้าว และมีข้าราชการติดร่างแห ต้องสู้คดี และติดคุกทุกระดับชั้น ทำให้บรรดาข้าราชการต่างหวาดกลัวทั่วทุกกระทรวงในห้วง 6 เดือนที่ผ่านมา

กระนั้น นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ทำหน้าที่ รมว.คลัง ยืนยันว่า นโยบายการเติมเงิน 10,000 บาท เป็นนโยบายเรือธง รัฐบาลได้ใช้ความพยายามสูงสุดฝ่าฟันข้อจำกัด ได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน ส่งมอบนโยบายพลิกชีวิตประชาชนได้

และที่สำคัญเป็นไปตามตัวบทกฎหมายทุกประการ อยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด

ความที่อยู่ในใจมาหลายวัน ส่งผ่านเสียงการแถลงข่าวของนายเศรษฐา ว่า นโยบายนี้เป็นการใส่เงินในระบบเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง กระจายทุกพื้นที่ ให้หมุนเวียนในระบบถึงฐานราก สร้างโอกาสในการประกอบอาชีพของประชาชน และภาคธุรกิจ เกิดการผลิตสินค้าที่มากขึ้น นำไปสู่การจ้างงาน สร้างอาชีพ เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ

รัฐบาลได้ผลตอบแทนทางภาษี เป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัลให้กับประเทศ เตรียมพร้อมประเทศให้เข้าสู่เศรษฐกิจสมัยใหม่ เพิ่มความโปร่งใสการชำระเงิน

นายกรัฐมนตรีระบุว่า รัฐบาลจะดำเนินโครงการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ 2560 โดยกระบวนการต่างๆ เป็นไปตามกฎหมาย และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง โปร่งใส ตรวจสอบได้ ต้องเป็นไปด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต รอบคอบ และระมัดระวัง เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศ และประชาชนโดยรวม รักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐอย่างเคร่งครัด

 

สอดคล้องกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ซึ่งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการผลักดันโครงการนี้มาตลอดตั้งแต่ฤดูหาเสียงเลือกตั้ง ระบุแนวทางการนำนโยบายไปปฏิบัติ ว่า เงื่อนไขเป็นไปตามเดิม คือ

1. เป้าหมายประชาชน 50 ล้านคน คนอายุเกิน 16 ปี ไม่มีเงินได้เกิน 8.4 แสนบาทต่อปีภาษี มีเงินฝากไม่เกิน 5 แสนบาท

2. เงื่อนไขการใช้จ่ายประชาชนกับร้านค้า ในพื้นที่อำเภอ ร้านค้าขนาดเล็กที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด คือ ร้านที่ขนาดเป็นสะดวกซื้อลงมา เช่น เซเว่นอีเลฟเว่นในชุมชน สแตนด์อโลน รวมถึงร้านสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมัน แต่ไม่รวมซูเปอร์มาร์เก็ต ห้างสรรพสินค้า ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่

3. ประเภทสินค้า สินค้าทุกประเภทสามารถใช้จ่ายผ่านโครงการได้ ยกเว้นสินค้าอบายมุข น้ำมัน บริการ และออนไลน์ และสิ่งที่กระทรวงพาณิชย์จะกำหนดเพิ่มเติม

4. คุณสมบัติร้านค้าที่สามารถถอนเงินสด ต้องเป็นร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เฉพาะผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร และภาษีเงินได้นิติบุคคล ทั้งนี้ ร้านค้าไม่สามารถถอนเงินสดได้ทันทีหลังประชาชนใช้จ่าย แต่ร้านค้าจะสามารถถอนเงินสดได้เมื่อมีการใช้จ่ายตั้งแต่ในรอบที่ 2 เป็นต้นไป

5. การจัดทำระบบ เป็น Super App ของรัฐบาล ใช้จ่ายได้กับธนาคารอื่นๆ ในลักษณะ open loop

6. ประชาชนและร้านค้าจะสามารถเข้าร่วมโครงการภายในไตรมาสที่ 3 และจะมีการเริ่มใช้จ่ายภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2567

7. การป้องกันการทุจริต จะตั้งอนุกรรมการตรวจสอบการกระทำผิด โดยมีผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นประธาน และผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ผู้บัญชาการสำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ และผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เป็นอนุกรรมการและเลขานุการร่วม

 

ข้าราชการคนสำคัญ คือ นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ช่วยตอกย้ำว่า “โครงการนี้ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ 2560 เป็นไปตามกฎหมาย กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง โปร่งใสตรวจสอบได้”

เขาแจกแจงที่มาของวงเงิน 5 แสนล้านบาทที่สอดคล้องกับที่มาของรองหัวหน้าพรรคก้าวไกลว่า วงเงิน 5 แสนล้าน มาจากการบริหารจัดการผ่านงบประมาณทั้งหมด แบ่งเป็น 3 ส่วน

1. เงินงบประมาณ 2568 จำนวน 152,700 ล้านบาท

2. การดำเนินโครงการผ่านหน่วยงานของรัฐ 172,300 ล้านบาท โดยใช้มาตรา 28 ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ดูแลกลุ่มที่เป็นเกษตรกร 17 ล้านคนเศษ ผ่านงบประมาณ 2568

3. การบริหารจัดการเงินงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ 2567 จำนวน 175,000 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลพิจารณาว่ารายการไหนสามารถปรับเปลี่ยนได้ หรือใช้งบฯ กลาง รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น

โครงการที่คิดผ่านห้องประชุมเพื่อไทย ผ่านเสียงวิดีโอ “โคตรใหม่” เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ พายุเศรษฐกิจเริ่มตั้งเค้า เงินกำลังจะหมุนไป…ท้าทายคำทำนายและมรสุมจากฝ่ายค้านตัวแม่