ถนนของนักประชาธิปไตย | เรื่องสั้น : นรเศรษฐ์ ทับทิมทอง

เรื่องสั้น | นรเศรษฐ์ ทับทิมทอง

ถนนของนักประชาธิปไตย

 

พวกเราพร้อมใจกันกู่ตะโกนด้วยความฮึกเหิม ขณะนี้บนเวที แกนนำกำลังไฮด์ปาร์กด้วยน้ำเสียงดุดัน ห้าวหาญ เต็มไปด้วยหลักการแห่งประชาธิปไตย นั่นหวังว่าเสียงของประชาชน อาจดังพอถึงหูท่านผู้นำ กำหนดเส้นตายคือวันนี้ หากรัฐบาลยังคงนิ่งเงียบ และไม่ออกมาแสดงท่าทีอันใดต่อข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุม หมายหมุดต่อไปคือหน้าทำเนียบ และสถานที่ราชการ

ฝูงชนเพิ่มจำนวนขึ้น พร้อมๆ กับแดดบ่ายเริงแรง เสรีภาพนั้นโบกบินไปทั่วฟ้าอาณาเขต นกพิราบบางตัว บนอาคารเปื้อนประวัติศาสตร์ ผงกหัว กรูเสียงขาดๆ หายๆ ออกจากลำคอ เขาหันซ้าย แลขวา รอบตัวเต็มไปด้วยคนหนุ่มสาว นึกถึงวัยนั้นของตน เคยผ่านสงครามการปฏิวัติรัฐประหารมาหลายหน กระทั่งถึงวันนี้ เหมือนรู้สึกยังสดใหม่ เร่าร้อนในอุดมการณ์อยู่มิสร่างซา

บางจังหวะดนตรีคั่นการอภิปรายบนเวที ลีลาโยกย้ายส่ายเอวจากแร็พเปอร์หนุ่ม ช่วยผ่อนคลายบรรยากาศตึงเครียดได้อย่างดี วัยรุ่นหัวแดง หัวเหลือง โดดเต้นโหยงๆ อยู่ด้านหน้า เพิ่มสีสันให้กลุ่มผู้ชุมนุม

ขณะยกน้ำดื่ม คล้ายดวงตามืดดับลงชั่วครู่ คงเพราะเงยขึ้นเผชิญกับความคมกล้าของแสงแดดอย่างกะทันหัน ค่อยๆ ก้มหน้าลง ริมฝีปากยังไม่ทันหลุดจากปากขวดพลาสติก เสียงกัมปนาทของระเบิดไม่ทราบชนิด กับเสียงแหบพร่าปลายกระบอกปืน แผดระรัวขึ้นท่ามกลางโกลาหล สัญชาตญาณระวังภัยสั่งให้ย่อตัวโดยอัตโนมัติ ยังมิทันตั้งหลักวิ่ง ระเบิดอีกชุดก็ตกลงกลางวงตรงหน้า เปลวไฟประกายวาบ เสียงสะเทือนเลื่อนลั่น

…เขาสะดุ้งเฮือกขึ้นสุดตัว

 

-1-

สองมือสะเปะสะปะลูบคลำเนื้อตัว เหงื่อนั้นเปียกชุ่ม แดดบ่ายแทงทะลุหน้าต่าง สาดมาพอดีกับโซฟาที่เหยียดนอน ลืมตาทะลึ่งพรวดขึ้นมองนาฬิกาบนผนัง ไม่มีเวลาทบทวนความฝัน

“ตายห่า!” นึกในใจ บ่ายสามแล้ว จะทันมั้ย?

กุลีกุจอลุกเดินเข้าห้องน้ำ เปิดฝักบัว ถูสบู่พอลวกๆ ดึงผ้าขนหนูจากราวแขวน เช็ดตัวเสร็จ จัดแจงกลิ้งโรลออนใต้รักแร้ ก่อนปะแป้งบางๆ หยิบกางเกงยีนส์ตัวเมื่อวานในตะกร้า คว้าเป้ สวมเชิ้ตแขนยาวสกรีนสัญลักษณ์เฉพาะกลุ่ม ไม่ลืมหยิบวัตถุตัวแทนความมั่นคงทางจิตใจสีดำขลับ ติดมือออกมาด้วย

เขารีบจนทำกุญแจรถหล่นลงบ่อปลาเล็กๆ หน้าบ้าน สบถกับตัวเอง ที่ต้องเสียเวลางมหา ครั้นเมื่อพบ กดปุ่มปลดล็อก มีเพียงแสงไฟกะพริบที่ตัวรีโมต นอกนั้นคือความเงียบ กดซ้ำอีกสองสามครั้ง ยังเหมือนเดิม ใช้ดอกกุญแจไขโดยตรงที่มือจับ ทันทีที่ดึงประตูรถเปิด เสียงสัญญาณกันขโมยร้องลั่น สะดุ้ง รีบปิดคืนอย่างรวดเร็ว ลืมนึกไปว่า หากล็อกด้วยรีโมต ต้องคลายด้วยรีโมตเช่นกัน ยิ่งโมโหหนักกว่าเดิม

“ห่าเอ้ย!” สบถเป็นครั้งที่สอง ยิ่งรีบเหมือนยิ่งช้า วิ่งกลับเข้าในบ้าน กว่าจะค้นกุญแจสำรองเจอ เสียเวลาไปอีกหนึ่งชุดความหงุดหงิด

ทันทีที่เสียงสัญญาณเปิดรถดังขึ้นพร้อมไฟกะพริบสองครั้ง

ก่อนก้าวเหยียบขั้นบันไดรถ ยังทันได้สังเกตเห็นโคลนแข็งหลายก้อนติดค้างตั้งแต่ออกทริปแรลรี่เมื่อสัปดาห์ก่อน เขายังไม่มีเวลาล้างทำความสะอาด มือคว้าหูจับ โหนตัวขึ้นที่นั่งคนขับ สตาร์ตรถ หักพวงมาลัยเลี้ยวออกประตูบ้านไปอย่างรวดเร็ว จังหวะหนึ่งรู้สึกถึงเสียงบดแตกของกระถางต้นไม้มุมรั้ว มองกระจกข้างเห็นกระบะท้ายสะเทือนขึ้นเล็กน้อย ด้วยความรีบ จึงไม่สนใจลงไปดู

“เออๆ กูหลับเพลิน เพิ่งออกจากบ้าน ล่อกันยังวะ รอก่อนนะโว้ย กูว่างานนี้มันเอาแน่”

เขายกโทรศัพท์คุยกับเพื่อนที่นัดแนะไว้

วันนี้เอง ทางกลุ่มผู้ชุมนุมกำหนดเส้นตายให้ทางรัฐบาลทำการพิจารณายุบสภา แต่ท่าทีแข็งกร้าวของท่านผู้นำนั้นไม่ยอมสละอำนาจลงง่ายๆ ข่าววงในจากเพื่อนผู้ชุมนุม บอกเตรียมตัวให้ดี แก๊สน้ำตา กระสุนยาง ทั้งรถฉีดน้ำแรงดันสูงของฝั่งเจ้าหน้าที่ เตรียมพร้อมสลายมวลชนไว้เต็มพิกัด

ระหว่างขับรถ สลับกับคอยยกมือถือขึ้นจดจ้องรายงานสถานการณ์ ปากก็ก่นด่าไปตามเนื้อสารที่ได้รับ ภายในใจขณะนี้ คล้ายโบกบินไปถึงจุดหมายนานแล้ว ทว่าเบื้องหน้า ขบวนแถวของรถหลากสี หลายชนิด แออัดยัดเยียดอยู่บนถนนเต็มทั้งสองเลน ขยับเคลื่อนไปได้ทีละคืบๆ เขานึกโมโหตัวเองที่เลือกเส้นทางนี้ อุตส่าห์เลี่ยงการจราจรเส้นหลัก หวังขึ้นทางด่วนตรงด่านเลี่ยงเมือง คิดกลับรถเปลี่ยนเส้นทาง แต่ฝั่งตรงข้ามก็ไม่ต่างกันนัก

“ห่าเอ้ย! ปกติแม่งไม่ติดนี่หว่า สงสัยรถแม่งชนกัน”

สบถขึ้นอีกรอบ เบี่ยงรถ โยกซ้ายโยกขวาหาจังหวะเบียดแทรก ไร้หนทาง ด้านซ้ายเป็นคลอง ผิวถนนแคบเกินไป เครื่องปรับอากาศในรถเย็นเฉียบ ตรงข้ามกับอุณหภูมิภายในใจ อารามหงุดหงิดพาให้เท้าเหยียบเบิ้ลคันเร่ง แม้รู้ดีว่าไม่เกิดผล ซ้ำยังก่อมลพิษ และทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันโดยใช่เหตุ แต่เหมือนเป็นปฏิกิริยาตอบสนองโดยธรรมชาตินิสัย

ไม่แล้วใจ เปิดประตูรถออกยืนชะเง้อคอมองเบื้องหน้า จุดบุหรี่ระบายควันอัดอั้นในหัวอก มือเท้าเอว ส่ายหัวสุดเอือมระอากับสภาพการจราจร จังหวะอารมณ์ถึงขีด เสียงแตรรถมอเตอร์ไซค์จากด้านหลังบีบขึ้นสองครั้ง แม้ลักษณะการบีบเป็นไปแบบขอทางธรรมดา มิได้บีบแช่ หรือรุกเร่งแต่อย่างใด ทว่าขณะนี้ กลับคล้ายสุ้มเสียงอันกึกก้องกัมปนาทของเหล่าเผด็จการณ์ผู้มาดร้าย พยายามจ่อจี้กองไฟร้อนแรงให้ท่วมสุมขึ้นเป็นร้อยเท่าทวีคูณ เขาสะดุ้งเฮือก หันขวับไปทางต้นเสียงด้านหลัง ถลึงตาจ้องหน้าเด็กหนุ่มบนเบาะมอเตอร์ไซค์อย่างเอาเรื่อง

เห็นท่าทีเช่นนั้น เด็กหนุ่มฉีกยิ้มเจื่อนๆ เอ่ยปากขอโทษขอโพย ด้วยน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจ ก่อนค่อยๆ เร่งเครื่องผ่านสายตาขุ่นเคืองที่ไม่ยอมลดราวาศอกของเขา ออกไปสู่ความติดขัดเบื้องหน้า

“แม่ง…ห่าเอ้ย! มึงจะรีบไปไหนวะ ไอ้พวกเด็กแว้น วันๆ ไม่ทำอะไร เอาแต่โฉบไปโฉบมา”

ด่าอยู่ในใจ นึกเปรียบเทียบกับภารกิจยิ่งใหญ่ การกอบกู้ความเสมอภาคให้สังคม การเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ ซึ่งเขากำลังมุ่งหน้าไปก่อการอยู่ในขณะนี้…ไอ้เด็กห่านี่รู้อะไรบ้าง

ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง ขบวนแถวยาวเหยียดเริ่มสั้นลง เขามองเห็นสาเหตุที่ทำให้รถติดอยู่ไกลๆ คนสองสามคนลงยืนข้างถนน ตัวแทนประกันทั้งสองฝ่ายยกกล้องถ่ายความเสียหาย และเจรจาต่อรอง

เมื่อรถของเขาเคลื่อนเข้าใกล้ที่เกิดเหตุ ยายป้าคนหนึ่ง ดูก็รู้ว่าเป็นเจ้าของรถเก๋งเก่าคร่ำตกรุ่น กำลังใช้มือลูบคลำฝากระโปรงหน้าอย่างเสียดมเสียดาย หน้าตาแกบอกบุญไม่รับ รถคู่กรณีคันที่ถูกชนท้าย เป็นเก๋งซีดานสีดำขลับหมาดใหม่ป้ายแดง ฝ่ายชายเจ้าของรถกำลังยืนคุยกับประกัน ส่วนฝ่ายหญิงคาดว่าจะเป็นแฟนสาว ก้มหน้าก้มตาอยู่แต่กับโทรศัพท์ในมือ โดยไม่สนใจสถานการณ์แวดล้อมใดๆ

เสียงหัวเราะเยาะแค่นๆ ดังก้องเป็นคำพูด อยู่ในใจเขา

“ป้าเอ้ย เซ่อซ่า แก่แล้วแทนที่จะอยู่บ้าน หรือให้ลูกให้หลานขับให้ ดันมาสร้างภาระบนท้องถนน”

เมื่อเลยจุดนี้ไปได้ ถนนเปลี่ยนเป็นเลนสวนแคบๆ ไม่มีเกาะกลาง เหลืออีกแยกเดียวจะขึ้นทางด่วน ขณะรถติดก่อนถึงสัญญาณไฟจราจรประมาณสามร้อยเมตร เพื่อนคนเดิมโทร.มาเร่ง

“เออๆ กูก็รีบอยู่ รถแม่งติดชิบหาย ทางนั้นเป็นไงบ้างวะ มึงรอกูก่อนนะโว้ย”

หลังวางโทรศัพท์ ในใจยิ่งร้อนรน มองเลนฝั่งรถสวน ถนนยังว่าง เขาตัดสินใจหักพวงลัยเบี่ยงขวา เหยียบคันเร่ง แซงรถทุกคันที่ติดอยู่ทางด้านซ้ายในช่องจราจรปกติ สายตาเล็งไว้แต่เนิ่นๆ ถึงพื้นที่ว่างด้านหน้าสุด สำหรับการเข้าปาดแทรก

ใกล้ถึงทางแยก รถบรรทุกคันหนึ่งเลี้ยวซ้ายมาจากถนนเส้นตัดกัน อาจเพราะเห็นว่าตนขับมาถูกเลนจึงไม่ทันระวัง เป็นจังหวะเดียวกับที่เขาขับสวนออกไปด้วยความเร็ว เพียงเสี้ยววินาที เขาเสียววาบ จวนเจียนจะเกิดอุบัติเหตุ ยังดีที่มือไว หักหลบซ้ายเข้าได้ทัน แต่กระนั้น มันยังไปเกี่ยวเข้ากับอะไรบางอย่างของรถคันที่จอดติดไฟแดงคันหนึ่งอยู่ดี เสียงวัตถุกระทบกันดังเข้ามาในห้องโดยสาร หางตาเขาคล้ายเห็นกระจกข้างของรถคันดังกล่าว หักห้อยโตงเตง มองตรงไปที่สัญญาณไฟ บัดนี้ จากไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียว

เขาไม่นึกถึงอะไรอีกแล้ว ความรีบพาให้เท้ากดลงบนคันเร่ง กระชากรถออกจากความวุ่นวายทั้งปวง ด้วยความรวดเร็ว

 

-2-

เสียเวลาควานหากระเป๋าสตางค์อยู่พักหนึ่งตรงด่านจ่ายเงิน พบมันอยู่ในเป้สะพายตรงเบาะหลัง เขาเหวี่ยงไว้ตอนขึ้นรถ ทันทีที่ไม้กั้นยก รถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อแต่งสูง กระชากตัวออกอย่างรุนแรง ทิ้งไว้เพียงเขม่าควันสีดำของเครื่องยนต์ดีเซล ตรงบริเวณห้องพนักงานเก็บค่าผ่านทางนั่นเอง

บนทางด่วนขาเข้า ช่วงวัชรพลต่อเนื่องถึงลาดพร้าว การจราจรยังคล่องตัว มองเข็มไมล์ขณะนี้เกือบแตะที่หนึ่งร้อยหกสิบ นึกโมโหไอ้แท็กซี่คันก่อนหน้า วิ่งช้าเสือกแช่ขวา เขาทั้งตบไฟไล่ ทั้งบีบแตร เหมือนโชเฟอร์จงใจก่อกวน ไม่หือไม่อือกับรถจี้ตูด เขาฉุนขาด เบี่ยงซ้ายแซงออก กะระยะแค่พอหมิ่นเหม่ ได้จังหวะหักพวงมาลัยคืนขวาอย่างกะทันหันขึ้นบังหน้า แตะเบรกเบาๆ เพียงเท่านี้ เสียงแตรจากแท็กซี่คู่กรณีก็แผดลั่น พร้อมเบรกอย่างตัวโก่ง เขานึกสะใจ มองกระจกหลัง เห็นไฟกะพริบขึ้นถี่ๆ เสียงแตรจากด้านหลังยังดังต่อไปอีกสองสามครั้งจึงหยุดลง

ปกติหากเจอสถานการณ์เช่นนี้บนท้องถนน เป็นต้องมีเรื่องแน่นอน แต่วันนี้ช่างมันก่อน เขารีบเกินกว่าจะเสียเวลาข้องแวะ เพื่อนพ้องร่วมอุดมการณ์กำลังรออยู่

รถเริ่มชะลอตัวอีกครั้ง ช่วงก่อนเข้าด่านพระรามเก้า จากสายตา ไฟเบรกแดงเถือก ยาวเหยียดราวกับงู เลื้อยเป็นเส้นโค้งต่อเนื่องไปทางอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ…เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด

“ห่าเอ้ย!…แม่งติดไรอีกวะ”

มองนาฬิกา ขณะนี้สี่โมงกว่า จินตนาการล่วงหน้าไปถึงเส้นทางที่ต้องฝ่าเผชิญ ยังอีกไกลกว่าจะถึงจุดหมาย คล้ายความกระวนกระวายเพิ่มขึ้นเท่าตัว ฝั่งเลนซ้ายสุด แม้มีป้ายสัญญาณแดงโร่ ห้ามรถวิ่งบนไหล่ทาง แต่เขาไม่สน ค่อยๆ เบียด แทรก ลัดเลาะไปสู่ช่องทางดังกล่าวได้โดยไม่ยาก นึกภูมิอกภูมิใจในฝีมือการขับรถของตน

เมื่อปาดเข้าไหล่ทางได้แล้ว เขากดคันเร่งขึ้นแซงกองคาราวานที่ติดหนึบอยู่ทางด้านขวา รถพุ่งทะยานออกไปข้างหน้าอย่างฉิวๆ ด่านเก็บค่าผ่านทางด่านที่สองเห็นอยู่ไกลๆ

ขยับใกล้มาอีกนิดไม่เกินยี่สิบเมตรเบื้องหน้า สัญญาณไฟฉุกเฉินจากรถอีโกคาร์คันหนึ่ง กะพริบถี่ๆ ขวางช่องทางพิเศษที่เขาขับแซะมา สัญชาตญาณผู้ขับขี่เริ่มทำงาน มองกระจกข้างเตรียมหาจังหวะเบี่ยงขวาแทรก ความที่การจราจรหนาแน่น กว่าจะเปลี่ยนเลนได้จึงไม่ง่ายนัก เมื่อขับใกล้จวนถึงรถคันหน้าที่จอดเสีย ขณะโยกขึ้นแซง

สังเกตกระจกท้ายของรถคันดังกล่าวติดสติ๊กเกอร์สีเหลือง มือ ใหม่ หัด ขับ เขานึกหยันอยู่ในใจ หันมองหน้าหญิงสาวที่นั่งในรถ พร้อมส่ายหัวอย่างเอือมระอา

 

-3-

กว่าจะหลุดจากการจราจรบนทางด่วนอันแสนทุเรศทุรังมาได้ เสียเวลาไปร่วมชั่วโมง

“แม่ง!…ห่าเอ้ย เหมือนจ่ายตังค์ขึ้นมาติด”

เขาหงุดหงิดทุกครั้ง เมื่อเสียเงินใช้บริการทางพิเศษ แล้วต้องมาเจอกับสภาพเช่นนี้

รถวิ่งเกือบถึงทางลงด่วนแถวยมราช สมรภูมิเบื้องบนใกล้สิ้นสุด มองจากจุดนี้ คล้ายถนนเบื้องล่างโปร่งโล่งผิดแผกกว่าควรเป็น เผลอพรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก

ทว่านั่นคือข้อพึงระวัง เมื่อสงครามยังไม่สิ้นสุด นักรบมิควรประมาท เหล่าศัตรูผู้มาดร้าย อาจซุ่มโจมตีอยู่ทุกที่ทุกเวลา

นึกขำกับการเปรียบเปรยของตน

เมื่อเข้าสู่ถนนหลานหลวง มุ่งหน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย อันเป็นจุดนัดหมายของพวกเรา ช่วงแรกการจราจรยังไม่แออัดถึงขั้นรับไม่ได้ แต่เพียงข้ามคลองผดุงฯ พ้นสะพานขาวไปเท่านั้น ความกังวลเริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง ขบวนแถวยาวเหยียดของรถรา เรียงรายแออัดอยู่เบื้องหน้า สองฝั่งถนนเส้นนี้ เป็นตึกรามบ้านช่องของผู้คน การคิดเบียดแทรกทำได้ยาก นั่นยิ่งเป็นการเพิ่มฟืนไฟภายในให้โหมกระพือขึ้นอีกครั้ง

ถึงทำใจยอมรับไม่ได้ แต่คล้ายต้องยอมจำนน

กระหวัดใจนึกถึงรัฐบาลเผด็จการ ผู้แย่งชิงอำนาจมาจากประชาชนอย่างหน้าด้านๆ เสรีภาพทางการเมือง ถูกจำกัด ทั้งคำพูด และการแสดงความคิดเห็น หากเอื้ออวยก็รอดตัว แต่หากใครคิดต่าง นั่นหมายถึงเปิดฉากความเป็นศัตรู การบริหารประเทศที่ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า การอุ้มชูกันระหว่างนายทุนกับผู้มีอำนาจของรัฐ และสิ่งสำคัญ คือการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างไม่น่าให้อภัย เห็นได้จากกรณีอุ้มหายบรรดาแกนนำ ที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

ผ่านความทุลักทุเล และหงุดหงิดทางอารมณ์มาจนถึงสี่แยกหลานหลวง

อีกไม่ไกลแล้วเพื่อน เราจะได้เข้าร่วมต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมคืนให้กับสังคม

เขานึกกระหยิ่มยิ้มย่อง คละระคนไปกับความฮึกเหิมที่ค่อยๆ ก่อตัว ยิ่งใกล้จุดหมาย บวกกับระหว่างเส้นทางได้แลเห็นประชาชน และผู้คนซึ่งมีอุดมการณ์ร่วม ขับขี่มอเตอร์ไซค์แซงรถเขาไปหลายคัน แต่ละคันล้วนประดับตกแต่งด้วยผืนธงสัญลักษณ์ของกลุ่มผู้ชุมนุมบ้าง สติ๊กเกอร์บ้าง แวบหนึ่ง เขาเหลือบขึ้นสบตากระจกมองหลัง ยิ้มให้กับสติ๊กเกอร์แบบเดียวกัน บนกระจกท้ายรถของตน

ระหว่างสัญญาณไฟ กำลังเปลี่ยนจากแดงเป็นเขียว บังเอิญขบวนรถหลากชนิดของผู้ชุมนุม มีทั้งเก๋ง กระบะ มอเตอร์ไซค์ ขับผ่านมาจากถนนจักรพรรดิพงษ์เส้นที่ตัดกัน และบังเอิญรถเขาจอดอยู่คันแรกหลังสัญญาณไฟนั้น แน่นอนว่าบรรดารถในขบวนดังกล่าวล้วนคือมิตรสหาย คือพี่น้อง คือการนำพาไปสู่หนทางที่ดีกว่า ไม่มีเหตุผลใดที่เขาจะไม่หยุดรถให้ แม้สัญญาณไฟฝั่งเขาจะเปลี่ยนเป็นเขียว และแม้ว่ายังมีแถวแนวของรถอีกหลายคันต่อท้ายอยู่

แตะคันเร่งเบาๆ หักพวงมาลัยขึ้นขวางสัญญาณจราจร เปิดไฟกะพริบผ่าหมาก ลดกระจกข้างคนขับลง ยื่นแขนชูขึ้น ทำมือส่งสัญลักษณ์ของกลุ่ม โบกส่ายไปมาทางขบวนรถที่วิ่งฝ่าสัญญาณไฟแดงตรงสี่แยก เสียงกู่ร้อง เสียงแตร ส่งถึงกันอย่างห้าวหาญเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว บางคนในกลุ่มก้มหัวให้ แสดงท่าทีตอบรับน้ำอกน้ำใจ บางคนยกนิ้วโป้งชูขึ้น ส่งยิ้มพร้อมพยักหน้างึกหงัก เขารู้สึกภูมิใจราวกับวีรบุรุษ

ผ่านไปจนตัวเลขบนสัญญาณไฟเขียว นับถอยหลังจวนจะกลับมาที่ไฟแดงอีกครั้ง

จู่ๆ เขาต้องสะดุ้ง พร้อมหันกลับไปมองด้วยดวงตาเขม็งเกรียว เมื่อรถกระบะแบบมีคอกคันที่จอดติดไฟแดงต่อจากเขา เริ่มบีบแตรขึ้น ส่งผลให้รถอีกหลายคันทางด้านหลัง ร่วมประสานเสียงกันอย่างระงมตรงสี่แยกนั่นเอง

เหมือนความห้าวหาญแบบอุปทานหมู่ส่งแรงกระเพื่อมอย่างบ้าบิ่น ผลักให้เขาเปิดประตูรถ กระโดดลงยืนเผชิญหน้ากับผู้ใช้ถนนรายอื่นๆ ด้านหลังสัญญาณไฟ ก่อนก้าวอาดๆ มาหยุดตรงหน้ารถกระบะคันดังกล่าว แบบพร้อมจะมีเรื่องได้ทุกขณะ ยกมือขึ้นชี้กราดไปทางแถวแนวรถที่ติดเป็นแพ ปากพร่ำตะโกนด่าอย่างเหลืออดเหลือทน

“จะรีบไปไหนกันคร้าบ… ไม่เห็นไง พี่น้องเขาเสียสละ เรียกร้องความยุติธรรมให้บ้านให้เมือง เรียกร้องสิทธิเสรีภาพให้พวกคุณ ติดแค่นี้ ทำจะเป็นจะตาย มาครับ ใครมีปัญหาลงมา…”

เขาตะโกนด่า ด่า และด่า…ต่อไปอีกสักพัก นับว่ายังดี ไม่มีรถคันไหนใจร้อนพอจะลงมามีเรื่องมีราวด้วย ไม่งั้นอาจเกิดเหตุชุลมุนวุ่นวายเพิ่มขึ้น

เมื่อนั่งบนรถเรียบร้อย เขาหันพวงมาลัยกลับสู่ทิศทางเดิมที่จะมุ่งหน้า เข้าเกียร์ กระทืบคันเร่ง เสียงล้อใหญ่ๆ หมุนฟรี บดเบียดผิวถนนตรงสี่แยกดังเสียดหู ก่อนกระชากตัวออกไปด้วยความพลุ่งพล่าน

รถวิ่งมาได้แค่ช่วงต้นของถนนราชดำเนินกลาง เจ้าหน้าที่นำแบริเออร์มาวางปิดกั้นการจราจรไว้ตลอดแนว

“ห่าเอ้ย!…จอดแม่งตรงนี้แหละวะ”

ทันทีที่วกกลับอีกฝั่ง เขาเอารถจอดเทียบฟุตปาธตรงเส้นสีแดง-ขาว บริเวณนั้นเอง ยกนาฬิกาขึ้นดู ห้าโมงครึ่ง ก่อนกดโทรศัพท์หาเพื่อน

“ถึงแล้ว แม่ง! หงุดหงิดชิบหาย มึงอยู่ไหนวะ…เออๆ เดี๋ยวกูรีบตามไป”

ท้องถนนในขณะนี้ พลุกพล่านไปด้วยประชาชนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวนั้นมีมากอย่างไม่น่าเชื่อ หรือนี่ ถึงเวลาแล้วที่ดอกไม้แห่งสิทธิเสรีภาพจะเบ่งบานอีกครั้ง เขาคล้ายมองเห็นตัวเองอยู่ในวันคืนก่อนเก่า พลังหนุ่มโหมกระพือขึ้น

เสียงแกนนำดังผ่านลำโพงมาจากบนเวที เปล่งถ้อยคำมิยอมจำนน ทั้งแข็งกร้าว และเต็มเปี่ยมด้วยอุดมการณ์ความมุ่งมั่น

ขณะเดินใกล้ถึงจุดศูนย์กลางการชุมนุม มองไปตามทิศทางของเสียง บังเอิญแดดยามเย็น ฉายโชนไปตกกระทบเข้ากับปฏิมากรรมบนอนุสาวรีย์อย่างพอดิบพอดี แสงสะท้อนเปล่งประกายความหวังเข้าสู่หัวใจ นึกถึงหลักกิโลเมตรที่ศูนย์แห่งประชาธิปไตย บัดนี้อาจถึงเวลาแล้ว ที่ประชาชนจะเริ่มนับย่างก้าวที่หนึ่ง ไม่แน่ นี่อาจเป็นประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองโฉมใหม่

ถึงตรงนี้ เขารู้สึกอิ่มเอมอย่างเต็มเปี่ยม จนลืมความขุ่นข้องหมองใจ จากเรื่องวุ่นวายตลอดเส้นทางที่ผ่านมา ทั้งปัญหาการจราจรอันแสนอุบาทว์ ทั้งความงี่เง่าของผู้คนบนท้องถนน ไหนจะผู้คนที่เห็นแต่ธุระของตัว จนไม่สนใจเรื่องคอขาดบาดตายของชาติบ้านเมือง อย่างเหตุการณ์ตรงสี่แยกที่ผ่านมา

ฉับพลัน เสียงระเบิดดังขึ้นหนึ่งตูม ท่ามกลางความโกลาหลของกลุ่มผู้ชุมนุม พวยควันจากแก๊สน้ำตา คล้ายฉุดอารมณ์ของเขาให้เดือดขึ้นอีกครั้ง สลัดความคิดอื่นทิ้ง ห้วงยามนี้ เหลือไว้เพียงการต่อสู้ เขาพาร่างพุ่งทะยานไปเบื้องหน้า มือแตะสำรวจชายเสื้อข้างเอว ด้ามเย็นเฉียบของ GLOCK 19 ยังเหน็บอยู่พอให้อุ่นใจ กำหมัดชู พร้อมกู่ตะโกนขึ้นสุดเสียง… •