ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 29 กันยายน - 5 ตุลาคม 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | กาแฟดำ |
ผู้เขียน | สุทธิชัย หยุ่น |
เผยแพร่ |
ถ้าฟังคำแถลงของนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ในหลายๆ โอกาส, อาจจะต้องสรุปว่า ต่อแต่นี้ไปรัฐบาลชุดนี้จะไม่ใช้คำว่า “ปฏิรูป”
แต่จะใช้คำว่า “พัฒนา” หรือ “ร่วมพัฒนา” แทน
นี่เป็นหนึ่งในหลายเรื่องที่สร้างความสับสนในการสื่อสารภาษาการเมืองหลังเลือกตั้ง
ตั้งแต่ “ผนังทองแดง, กำแพงเหล็ก”
ที่ละลายกลายเป็น “การเมืองสลายความขัดแย้ง”
ตามมาด้วย “การเมืองกลืนเลือด”
ที่มาพร้อมกับ “การเมืองตระบัดสัตย์”
คั่นด้วย “เทหมดหน้าตัก”
อยู่ดีๆ คำว่า “ปฏิรูป” ก็กลายเป็น “ของแสลง” สำหรับรัฐบาลใหม่โดยเฉพาะตั้งแต่นายกฯ และรัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ คุณสุทิน คลังแสง นัดกินข้าวกับผู้นำเหล่าทัพ
จากวันนั้นเป็นต้นมาเราก็ได้รับทราบว่าจะไม่ใช้คำว่า “ปฏิรูป” กับกองทัพอีกต่อไป
เหตุผลหนึ่งที่คุณสุทินใช้อธิบายกับสภาในวันแถลงนโยบายก็คือรัฐบาลนี้ยังมีเป้าหมายเกี่ยวกับกระทรวงกลาโหมอย่างมุ่งมั่น
แต่จะใช้วิธีการแบบ “ประนีประนอม”
ไม่เหมือนพรรคก้าวไกลที่แม้จะมีเป้าหมายมุ่งมั่นเหมือนกัน แต่ใช้วิธี “ชูธงบดขยี้”
ซึ่งคุณสุทินบอกว่าวิธีหลังนี้ล้มเหลวมาแล้ว
นายกฯ เศรษฐาอธิบายในเวลาต่อมาในการให้สัมภาษณ์ The Standard ว่า
“ผมไม่เคยชอบคำว่าปฏิรูป ผมใช้คำว่าพัฒนา”
และอธิบายว่าเรื่องสำคัญคือการบรรลุเป้าหมาย และท่านเชื่อว่าการร่วมพัฒนาจะให้ถึงเป้ามากกว่าปฏิรูป
ที่ผมบอกว่ารัฐบาลชุดนี้ทำให้คำว่า “ปฏิรูป” เป็น “ของแสลง” เพราะคล้ายกับว่าคำนี้จะทำให้เกิดปัญหาของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับกองทัพ
พจนานุกรมบอกว่า “แสลง” หมายถึงของที่กินแล้วทำให้โรคกำเริบหรือสิ่งที่ไม่ถูกกับโรค
ซึ่งดูเหมือนจะเป็นอาการที่รัฐบาลเศรษฐาสำแดงออกมาในช่วงนี้
ซึ่งสร้างความแปลกใจให้กับผู้พบเห็นยิ่งนัก
สิ่งแรกที่ผมทำคือไปย้อนดูแผนงานของกระทรวงกลาโหมในเรื่องนี้
เอกสารทางการทั้งหมดของกระทรวงก็ใช้คำว่า “ปฏิรูป” อย่างเต็มรูปแบบและภาคภูมิใจ
ไม่ได้มีนัยอะไรที่จะส่อไปในทางที่จะบอกว่าคนในกองทัพมีปัญหากับคำว่า “ปฏิรูป” แต่อย่างไรเลย
ตรงกันข้าม ดูเหมือนกระทรวงกลาโหมก็ต้องการให้ประชาชนคนไทยได้รับรู้ว่ากองทัพก็ไม่ได้อยู่กับที่ พยายามจะมีแผนการ “ปฏิรูป” กองทัพตลอดเวลาเช่นกัน
ส่วนจะปฏิรูปถึงระดับที่น่าพอใจสำหรับสังคมทุกภาคส่วนหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ขณะเดียวกัน ทุกพรรคการเมือง (รวมถึงพรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำรัฐบาลขณะนี้) ก็ใช้คำว่า “ปฏิรูปกองทัพ” ในการหาเสียงอย่างเข้มข้นมาตลอดเช่นกัน
ไม่มีพรรคการเมืองไหนนำเสนอต่อประชาชนว่าจะ “ร่วมพัฒนา” กับกองทัพในการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ประเทศชาติคาดหวัง
เพราะคำว่า “ปฏิรูป” มีความหมายเห็นภาพชัดเจนถึงความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นกว่าเดิมมากกว่า “ร่วมพัฒนา”
“พัฒนา” หมายถึงการทำให้ดีขึ้นตามลำดับ
“ปฏิรูป” สื่อความหมายไปในทางการวางเป้าหมายที่จะแก้ไขในสิ่งที่เป็นปัญหาหรือเป็นอุปสรรคขัดขวางความก้าวหน้าขององค์กรนั้นๆ
“ปฏิรูป” จึงสะท้อนความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะ “แก้ไขในสิ่งผิด” ขณะที่ “พัฒนา” สื่อว่าจะทำให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องมีการพุ่งเป้าไปในจุดที่เป็นเครื่องกีดขวางการรื้อโครงสร้างเดิมที่สกัดกั้นความก้าวหน้าขององค์กรนั้นๆ
“ปฏิรูป” เบากว่า “ปฏิวัติ” แต่ชัดเจนกว่า “พัฒนา” ในเป้าหมายและวิธีการ
แต่ที่ผ่านมารัฐบาลใช้คำ “ปฏิรูป” ฟุ่มเฟือยจนทำให้น้ำหนักและความเข้มข้นเจือจางลงไปมาก
และถูกใช้ในเกือบจะทุกกิจกรรมที่ต้องการจะสื่อให้ประชาชนเห็นว่ารัฐบาลกำลังจะทำอะไรให้ดีขึ้นกว่าเดิม
“พัฒนา” ไม่พอ ต้อง “ปฏิรูป” จึงจะทำให้เกิดความ “ขลัง”
แต่ก็เป็นเพียงความ “ขลัง” บนกระดาษเท่านั้น
ไม่ได้ทำให้ความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะรื้อของเก่าที่เน่าเฟะให้หมดไปและสร้างสิ่งใหม่ๆ มาทดแทน
ไม่ว่าจะทดแทนแบบค่อยเป็นค่อยไป หรือยกเอาของเก่าออกไปเลย
ในกรณีข้อเสนอของพรรคการเมืองในช่วงหาเสียงนั้น ส่วนใหญ่คำว่า “ปฏิรูป” คือการปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้น สอดคล้องกับการเป็น “กองทัพอาชีพ” ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ไม่ใช่ข้อเสนอยกเครื่องครั้งใหญ่ในลักษณ์ “รื้อทิ้งของเก่าเพื่อเอาของใหม่มาทดแทน”
ทั้งๆ ที่หลายๆ กรณีของระบบราชการ (ไม่เฉพาะกองทัพเท่านั้น) การ “ค่อยทำค่อยไป” หรือ “ร่วมพัฒนา” หรือ “ขอความร่วมมือ” นั้นจะไม่มีวันแก้ปัญหาที่ฝังรากลึกมายาวนานได้เลย
ลําดับความเข้มข้นของการสร้างความเปลี่ยนแปลงนั้นมีตั้งแต่
พัฒนา development
ปฏิรูป reform
และรื้อสร้างใหม่ reinvent
(แต่การเปลี่ยนแปลงแบบร้อนแรงฉับพลันแบบ coup หรือ “รัฐประหาร” เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจและก่อความเสียหายต่อชาติบ้านเมืองอย่างยิ่ง)
ในยุคสมัยที่เทคโนโลยีกำลังสร้าง “ความป่วน” ให้กับทุกวงการนั้น กองทัพก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
ดังนั้น กองทัพต้องใช้ทุกวิถีทางที่จะแก้ไขปรับปรุงและยกเครื่องตัวเองเพื่อให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงและสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ที่มีความท้าทายอย่างมากในทุกๆ มิติ
การ “พัฒนากองทัพ” เป็นกระบวนการปกติที่ต้องทำอยู่แล้ว แต่ไม่เพียงพอ
จึงต้อง “ปฏิรูป” ซึ่งเท่ากับเป็นการยกระดับของการสร้างความเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างและกรอบวิธีคิดหรือ mindset ซึ่งมีความสำคัญอันดับต้นๆ
เพราะถ้าหากไม่ปรับวิธีคิดแล้ว การ “พัฒนา” ก็จะไม่เกิด
การจะปรับเปลี่ยน mindset ต้องมีการ “ปฏิรูป” ด้านยุทธศาสตร์และยุทธวิธี
ในหลายกรณี “ปฏิรูป” ก็ไม่พอสำหรับการเขย่าให้เกิดความตื่นตัวในกองทัพที่ต้องทำงานประสานกับหน่วยงานอื่นๆ ในรัฐบาลและเอกชน
หลายมิติของความเปลี่ยนแปลงต้องรื้อโครงสร้างและแผนงานรวมถึงการฝึกทักษะสำหรับบุคลากรในกองทัพ
นั่นคือความจำเป็นที่ต้อง reinvent อันหมายถึงสร้างสิ่งใหม่มาทดแทนสิ่งเก่า
บางอย่างต้องรื้อทิ้ง บางอย่างต้องสร้างใหม่ และอีกบางอย่างก็ต้องผสมผสานของเก่ากับของใหม่
อย่างกรณีที่ต้องใช้เทคโนโลยี AI หรือ “ปัญญาประดิษฐ์” ในการเสริมความแข็งแกร่งของกองทัพ
เพียงแค่ “พัฒนาร่วม” กับเอกชนและผู้เชี่ยวชายด้านเทคโนโลยีจะไม่มีทางบรรลุเป้าหมายร่วมกันได้เลย
เพราะหากไม่มีการจัดโครงสร้างภายในกองทัพใหม่ให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงในระบบสากล, การ “พัฒนา” หรือแม้ “ปฏิรูป” ภายในก็ไม่อาจจะตอบโจทย์ของยุคสมัยได้
จึงจำเป็นต้องเข้าสู่โหมดของการคิดใหม่ทำใหม่ในสิ่งที่ไม่เคยต้องคิดไม่เคยต้องทำ
นั่นคือการ reinvent ทั้งคนทั้งระบบทั้งกรอบวิธีคิดของคนทั้งองค์กร
และหมายถึงต้องทำกันทั้งประเทศ
ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจเหลือหลายที่นายกฯ เศรษฐาบอกว่าจะไม่ใช้คำว่า “ปฏิรูป” กับการพัฒนากองทัพให้ทันสมัยและให้เปิดเผยโปร่งใสให้เข้ากับกระบวนการประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วมที่แท้จริง
เพราะส่วนของกองทัพที่คิดถึง “กองทัพในยุคดิจิตัล” นั้นได้คิดไกลไปเกิน “ปฏิรูป” ด้วยซ้ำ
รัฐบาลพลเรือนที่ต้องการจะทำงานร่วมกับกองทัพที่ต้องการเป็นที่ยอมรับของประชาชนต้องสร้างความมั่นใจให้กับคนในกองทัพที่ต้องการเปลี่ยนแปลงในทางสร้างสรรค์และเป็นรูปธรรม
รัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยต้องมุ่งมั่นในการยกระดับมาตรฐานของกองทัพ
มิใช่เกรงใจบางส่วนของกองทัพที่ยังต้องการรักษา “สถานภาพเดิม” เพื่อปกปักรักษาผลประโยชน์หรือ “ความคุ้นเคย” ของตน
เพราะคนรุ่นนี้ย่อมตระหนักว่าหากเราเน้นแค่ “พัฒนาร่วม” แต่ไม่ “ปฏิรูป” อย่างจริงจัง ความก้าวหน้าก็ไม่เกิด องค์กรก็จะตกอยู่ในภาวะล้าหลัง
และหากอยู่ในสภาพ “นิ่งเฉย” ถูกประเทศอื่นทิ้งห่างและประชาชนสิ้นหวัง ประเทศใดที่ไม่ “ปฏิรูป” ก็อาจจะถูก “ปฏิวัติ” (revolt ไม่ใช่ coup) โดยพลังอื่นๆ ในสังคมที่หนักหน่วงและรุนแรงเกินกว่าที่จะต้านได้
นั่นคืออันตรายของการเห็น “ปฏิรูป” เป็น “ของแสลง” อย่างที่เห็นอยู่วันนี้
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022