โจ๊ก ‘ชามร้อน’ ลวก-เละ ถ้วนหน้า เปิดศึกทุกแนวรบ ทำเนียบ-ป.ป.ช.-ตำรวจ

ปิดปากเงียบมาตลอดตั้งแต่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งย้ายฟ้าผ่าให้ไปปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี คู่กับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. หวังหย่าศึกในอาณาจักรโล่เงิน

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือบิ๊กโจ๊ก สวมบทเตมีย์ใบ้ หลบเลี่ยงให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ปล่อยให้ทนายความออกหน้าแถลงแทน

จนสถานการณ์เดินมาถึงวันที่ 18 เมษายนที่ผ่านมา “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รอง ผบ.ตร. รรท.ผบ.ตร. ลงนามในคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ “บิ๊กโจ๊ก” ออกราชการไปพร้อมกับลูกน้องอีก 4 คน หลังจากตกเป็นผู้ต้องหาคดีฟอกเงินเว็บพนันออนไลน์ แล้วตั้งคณะกรรมการสอบสวนด้วย

 

ทําให้ “บิ๊กโจ๊ก” อยู่ในสถานการณ์เสมือนเลือดเข้าตาเดินหน้าสู้กลับ โดยยื่นหนังสือขอให้ประธาน ป.ป.ช.ตรวจสอบนายกรัฐมนตรี กรณีปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 จากการแต่งตั้ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ เป็น ผบ.ตร.คนที่ 14 และกรณีนายกฯ เศรษฐามีคำสั่งให้กลับไปสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แล้ว “บิ๊กต่าย” สะบัดปากกาให้ออกจากราชการไว้ก่อน

เวลาไล่เลี่ยกัน มีเอกสารคำร้องคัดค้านการทำงานกรรมการ ป.ป.ช.รายหนึ่งหลุดในโซเชียลมีเดีย ที่ “บิ๊กโจ๊ก” ทำถึงผู้นำองค์กร ป.ป.ช.

ให้ตรวจสอบพฤติกรรมกรรมการ ป.ป.ช.ผู้นี้ ตั้งแต่ก่อนเข้ามาดำรงตำแหน่ง และขณะดำรงตำแหน่งเป็นบุคคลที่มีประวัติและพฤติกรรมที่เหมาะสมในการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่

ประเด็นสำคัญคือ ที่ผ่านมาการได้เป็นกรรมการ ป.ป.ช. ได้ไปขอ “บิ๊ก ป.” ผู้มีบารมีในรัฐบาลที่แล้ว

แต่ต่อมาได้เกิดความขัดแย้งกับบิ๊กโจ๊ก

กรรมการป.ป.ช.คนดังกล่าวถึงกับหลุดประโยคว่า “อย่าให้มีเรื่องกล่าวหาพี่มาถึงผมนะ ผมฟันไม่เลี้ยง”

ต่อมาปรากฏให้เห็น จากการเป็นเสียงข้างน้อยในคดีหนึ่งที่โยง “อดีตรอง ผบ.ตร.”

เอกสารหลุดดังกล่าวลากเอา “พี่ใหญ่แห่ง 3 ป.” สุ่มเสี่ยงผิดกฎหมายไปด้วย

ที่สำคัญชี้ให้เห็นว่าเป็นผู้ครอบงำองค์กรตรวจสอบนี้ ใครจะมาเป็นบอร์ดก็ต้องเข้าหา “บิ๊ก ป.”

กลายเป็นใบเสร็จยืนยันว่า การสรรหาองค์กรอิสระ มีการวิ่งเต้น ใช้เส้นสาย ภายใต้ระบบอุปถัมภ์ “ยุค 3 ป.”

ต่อมา “บิ๊ก ป.” ได้ออกมาปฏิเสธว่าไม่รู้จัก และไม่เคยพบผู้ได้รับการสรรหาเป็น ป.ป.ช.คนนี้

พร้อมกับข่าวที่เล็ดลอดออกมาว่า “พี่ใหญ่แห่งตระกูล ป.” โกรธ “บิ๊กโจ๊ก” มาก ที่อ้างชื่อให้เป็นพยานปากเอก พร้อมกับเพื่อนรุ่นพี่ วปอ.ในเอกสารคำร้องนี้

 

งานนี้มองกันว่า บิ๊กโจ๊ก ดับเครื่องชนในสถานการณ์ที่ตัวเองตกที่นั่งลำบากของชีวิตอีกครั้งหนึ่ง

ไม่เช่นนั้นหนทางข้างหน้ามีอุปสรรคขวากหนามยิ่งนัก

เพราะยังมีเรื่องคา ป.ป.ช. ทั้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินที่โยงกับเซียนพระและอดีตผู้ว่าราชการจังหวัด ที่ได้ค่านายหน้ามา 10 กว่าล้านแล้วไปซื้อปืนนับร้อยกระบอก

แต่ต่อมา “อดีตพ่อเมือง” แสดงตัวว่าเคยซื้อขายพระเพียงครั้งเดียวในราคา 1 หมื่นบาท ไม่เคยพบหน้าอดีตรอง ผบ.ตร.

นอกจากนี้ ยังมีการขยายผลไปยัง 3 เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ที่กระทำความผิดเพื่อช่วยเหลือนายตำรวจใหญ่ด้วย

การปฏิบัติการดังกล่าวคาดเดาได้ว่า เพื่อหวังดิสเครดิตคู่กรณี และอัปเปหิให้พ้นทาง แต่กลับสะเทือนถึงผู้มีพระคุณที่พลอยเดือดร้อนเละเป็นโจ๊กไปด้วย

ล่าสุด พล.ต.อ.สุรเชษฐ์เตรียมล่า 20,000 รายชื่อ เพื่อยื่นถอดถอนกรรมการ ป.ป.ช.คนดังกล่าวอีกด้วย

 

อย่างไรก็ตาม เพียงชั่วข้ามคืน ได้สร้างความงุนงงอีก หลังจากนายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการ ป.ป.ช. ออกมาเปิดเผยว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ได้ส่งตัวแทนถอนเรื่องยื่นให้ตรวจสอบ “นายกฯ เศรษฐา”

ต่อมาเจ้าตัวเผยว่า นายกฯ ไม่ได้รู้เรื่อง ถูกหลอกให้เซ็นส่งตนกลับมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อ้างว่าเพื่อให้ทำงานช่วยชาวบ้าน อย่างกรณีแก้ปัญหาที่ดินหลีเป๊ะ นายกฯ จึงไม่มีเจตนากระทำผิด แต่คนที่หลอกนายกฯ หวังแค่ตำแหน่งเพื่อให้ตัวเองได้เป็น ผบ.ตร. ถ้าตนเป็นแคนดิเดตอันดับ 6 คงไม่มีปัญหา แต่นี่เป็นแคนดิเดตอันดับ 1

“ถ้าอยากจะเป็นมาบอกผมตรงๆ ก็ได้ บายให้ก็ได้ ไม่ต้องมาใช้วิธีการแบบนี้ มาพูดกับผมตรงๆ จะได้พาไปกราบ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ แล้วยังจะพาไปกราบขอโทษนายกรัฐมนตรีด้วยที่ไปหลอกและขออย่าไปหลอกอีก”

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์กล่าว

 

นอกจากนี้ บิ๊กโจ๊กยังทิ้งบอมบ์ลูกที่ 2 ยื่นหนังสือถึงประธาน ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบการทำงานของ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้าชุดพนักงานสืบสวนสอบสวน และคณะพนักงานสอบสวนเกี่ยวกับคดีการฟอกเงินจากเครือข่ายเว็บการพนัน BNK Master กว่า 200 ชีวิต ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ

ระบุว่า คณะพนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจในการสืบสวนสอบสวนทั้ง สน.เตาปูนและ สน.ทุ่งมหาเมฆในคดีเว็บพนันออนไลน์ที่กล่าวหาตนเองกับพวก

เพราะคดีนี้มีเส้นเงินเดียวกัน มูลค่าเกินกว่า 300 ล้านบาท เป็นอำนาจของดีเอสไอ

ถ้าส่งคดีให้ดีเอสไอตรวจสอบแล้ว พบว่าเป็นการกระทำผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ ดีเอสไอต้องส่งให้ ป.ป.ช.

พร้อมแสดงความปรารถนาดีแนะนำทางรอดให้พนักงานสอบสวนว่า

“ขอฝากน้องๆ ผมรู้มาว่าหลายคนไม่ได้เกี่ยวข้อง ทำกันเพียงกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น จึงชี้ทางว่าขอมาให้การ ป.ป.ช. บอกว่าใครเป็นคนสั่งการให้ทำ เข้าใจว่าวันนี้พนักงานสอบสวนเครียดกันหมด ถ้าสั่งแล้วไม่ทำจะโดนย้าย แต่ถึงที่สุดเชื่อว่าไม่มีใครยอมตายเดี่ยว จึงขอมาให้การว่าใครเป็นคนสั่งแล้วจะรอด พนักงานสอบสวนไม่ได้เป็นเจ้าของอำนาจ ได้ทำเรื่องแย้งตลอด ว่าให้ส่งเรื่องไป ป.ป.ช. สุดท้ายก็ส่ง ป.ป.ช. แต่พยายามตะแบงเอาผมให้ได้ ทุกอย่างสำเร็จแล้ว ออกหมายจับผมแล้วถึงส่งสำนวนไป ป.ป.ช.ผ่านมา 4 เดือนกว่า ทั้งที่กฎหมายให้เวลาทำคดี 30 วัน”

จากนั้นเดินทางไป ปปง.เพื่อยื่นหนังสือคัดค้านการใช้หลักฐานการตรวจสอบเส้นทางการเงินพนักงานสอบสวน 2 สน. ทุ่งมหาเมฆ และเตาปูน ว่าไม่สามารถนำมาประกอบสำนวนได้ เนื่องจากเป็นการสอบสวนโดยมิชอบ

นอกจากนี้ ยังยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรมข้าราชการตำรวจ และฟ้อง รรท.ผบ.ตร. ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางด้วย

เป็นปฏิบัติการวิ่ง สู้ ฟัด ดับเครื่องชน ไม่ยอมตายเดี่ยว พร้อมความลับที่กุมไว้ในมืออีกเยอะ