ชีวิตที่ 10 ‘บิ๊กโจ๊ก’? สู้ยิบตา ดับเครื่องชน ปูทางสู่ถนนการเมือง-เล็งลง สว.

หลังจากมีคำสั่งให้พ้นราชการ เพราะเป็นผู้ต้องหาพัวพันคดีฟอกเงินเว็บพนันออนไลน์ และถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวน

“บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. นรต.รุ่นที่ 47 มีเวลาศึกษาข้อกฎหมายต่อสู้คดี พร้อมเดินสายไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เรียกร้องความเป็นธรรมให้ตัวเองได้เต็มที่

เนื่องจากตกอยู่ในสถานการณ์เลือดเข้าตา ต้องเดินหน้าชนอย่างเดียว

ปรากฏว่าเห็นผลจากกรณีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ที่บิ๊กโจ๊กยื่นหนังสือขอให้ประธาน ป.ป.ช.ตรวจสอบนายกรัฐมนตรี กรณีปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 จากการแต่งตั้ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล เป็น ผบ.ตร.คนที่ 14 และกรณีนายกฯ มีคำสั่งให้ย้ายตนเองกลับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เป็นที่มาให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รอง ผบ.ตร. รรท. ผบ.ตร. เซ็นคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน

วันรุ่งขึ้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ให้คนไปถอนเรื่อง โดยเจ้าตัวเผยว่า นายกฯ ไม่รู้เรื่อง ถูกหลอกให้เซ็นส่งตนกลับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยกเหตุผลจะให้มาทำงานช่วยชาวบ้าน

ดังนั้น นายกฯ จึงไม่มีเจตนา แต่คนที่หลอกนายกฯ หวังตำแหน่งเพื่อให้ตัวเองเป็น ผบ.ตร.

ถึงแม้ภายหลังการประชุม ก.ตร.เมื่อตอนสิ้นเมษายน นายเศรษฐาไม่ตอบคำถามผู้สื่อข่าว “ปม” ถูกหลอกให้เซ็นคำสั่งย้าย “บิ๊กโจ๊ก” กลับ ตร. โดยรีบเดินขึ้นรถออกจากกรมปทุมวันไปทันที

แต่นายกฯ ได้ให้ข้อมูลว่ากรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ร้องขอความเป็นธรรมว่าการย้ายไปมาระหว่างสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีกับ ตร.นั้น ที่ประชุม ก.ตร.ได้พิจารณาให้เกิดความรอบคอบเป็นธรรม กองวินัยตำรวจ มีข้อเสนอว่า เรื่องการขอความเป็นธรรมทั้งหมดจะส่งเรื่องให้ฝ่ายวินัย และฝ่ายกฎหมายไปพิจารณาตรวจสอบให้รอบคอบ นำมาเสนอ ก.ตร.ครั้งต่อไป

“ยืนยันว่าเรื่องนี้จะพิจารณาให้โปร่งใสสุจริตและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย” นายกฯ ระบุ

“รองโจ๊ก” ยังเดินสายไปยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร.ในฐานะหัวหน้าชุดพนักงานสอบสวนและคณะพนักงานสอบสวนที่เกี่ยวกับคดีการฟอกเงินจากเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์กว่า 200 ชีวิต ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อคัดค้านการใช้หลักฐานตรวจสอบเส้นทางการเงินของพนักงานสอบสวนทั้ง สน.ทุ่งมหาเมฆและเตาปูน

ล่าสุดที่บุกไปสำนักโล่เงินถิ่นเก่า อุทธรณ์คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) และ ก.ตร. “ปม” รรท.ผบ.ตร.ให้ออกจากราชการ เพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว

วันนั้น “บิ๊กโจ๊ก” จัดเต็ม นำแผนผัง “ขบวนการ 4 x 100 สยบปีกพระพรหม” ประกอบการแถลงข่าว

กล่าวหาว่ามีกลุ่มเสพติดอำนาจประพฤติชั่วทำกันเป็นขบวนการ แบ่งกันทำงานดังนี้

ขบวนการที่ 1 ชุดตรวจค้น ตระกูล 4 ต. (ต่อ เต่า ตุ้ม ไตร) เข้าตรวจค้น ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย

ขบวนการที่ 2 พนักงานสอบสวน ชุดคดี สน.ทุ่งมาเมฆ พบเส้นเงินบัญชีม้าเกิน 300 ล้านบาท ไม่มีอำนาจสอบสวนต้องส่งดีเอสไอ

ขบวนการที่ 3 พนักงานสอบสวน ชุดคดี สน.เตาปูน รู้ว่าไม่มีอำนาจสอบสวน แต่ไม่ส่งดีเอสไอ, ป.ป.ช. ภายในกำหนด เพื่อรอเวลาออกหมายเรียก-หมายจับ

ขบวนการที่ 4 ชุดรักษาราชการแทน ผบ.ตร. ตั้งกรรมการสอบสวน และให้ออกจากราชการ

ทั้ง 4 ชุดร่วมกันทำเป็นขบวนการตั้งแต่การเข้าตรวจคนบ้าน การใช้อำนาจสอบสวน นำไปสู่การออกหมายเรียก หมายจับ

 

จากนั้น รรท.ผบ.ตร.ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน และมีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนในวันที่ 18 เมษายน และนำส่งสำนวนให้ ป.ป.ช.ทันทีในวันที่ 19 เมษายน

ต่อมาคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณี “บิ๊กโจ๊ก” พร้อมพวก 5 คน ทำผิดวินัยร้ายแรงจนถูกออกจากราชการไว้ก่อน มี พล.ต.อ.สราวุฒิ การพานิช รอง ผบ.ตร. หรือ “รองวู้ดดี้” เป็นประธานคิกออฟเมื่อวันที่ 29 เมษายน กำหนดให้ตำรวจทั้ง 5 นาย ต้องเข้ามารับทราบข้อกล่าวหาภายในวันที่ 7 พฤษภาคมนี้ จากนั้นจะรวบรวมพยานหลักฐานและสอบสวนพยานในกรอบเวลาไม่เกิน 270 วัน ภายใต้การยึดระเบียบและข้อกฎหมาย

รองวู้ดดี้ เปิดใจครั้งแรกว่า ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานสอบนั้นไม่กลัว แค่รู้สึกตกใจ เพราะใกล้เกษียณแล้ว อาจเพราะตนเป็นกลางหรืออาจจำเป็นจริงๆ ถึงได้ตั้งเป็นประธาน การสอบอาจไม่เสร็จ เกษียณอายุราชการไปก่อน

ยืนยันว่าไม่มีใครมาชี้นำได้ ไม่มีการช่วยเหลือแม้เป็นพี่น้องร่วมสถาบันหรือเคยทำงานร่วมกัน และให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย

สำหรับ พล.ต.อ.สราวุฒิ เป็นลูกหม้อสันติบาล เคยเป็นผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล มีความตรงไปตรงมา บุคลิกสุภาพเรียบร้อย ไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งกับใคร

ขณะที่บิ๊กต่าย ผู้ลงนามแต่งตั้งกรรมการชุดนี้ เล่าถึงที่มาตั้ง พล.ต.อ.สราวุฒิเป็นประธานว่า อยู่ในจุดมีความเป็นกลางที่สุดแล้ว เพื่อให้ความเป็นธรรมระหว่างข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นกับผู้ถูกกล่าวหา และขอ พล.ต.อ.สราวุฒิ อย่าใช้คำว่าตกใจ เพราะเป็นข้าราชการตำรวจก็ต้องมีหน้าที่รับภารกิจต่างๆ โดยชอบด้วยกฎหมาย ยืนยันว่าตัวเองจะไม่เข้าไปแทรกแซงเด็ดขาด

 

สถานการณ์ที่บิ๊กโจ๊กเผชิญอยู่ ณ ขณะนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนักหนาสาหัสจริงๆ

แต่ถึงอย่างไรนายพลหนุ่มผู้นี้ยังเป็นขวัญใจมวลชน ในฐานะนายกสมาคมชาวปักษ์ใต้ฯ ที่ยังได้รับกำลังใจอย่างท่วมท้น

ตอนสงกรานต์จัดรถบัสวีไอพี 12 คัน พาคนใต้กลับบ้าน และให้มีทนายฯ อาสาประจำที่สมาคมคอยให้คำปรึกษาคดี

นอกจากนี้ สมัยรัฐบาล “ประยุทธ์” เป็นคีย์แมนโครงการคืนโฉนดที่ดินให้กับพี่น้องชาวอีสานด้วย

เรียกว่ามีแต้มสะสมกระแสนิยมเพียงพอเข้าสู่ถนนการเมืองได้ หลายฝ่ายคาดการณ์เป็นตัวเลือกหนึ่งของ “บิ๊กโจ๊ก” และหนึ่งในทางเลือกที่กำลังพิจารณาอยู่ นั่นคือการลงสมัครวุฒิสมาชิก ที่จะมีขึ้นเร็วๆ นี้

ทั้งหมดรอให้กระบวนการยุติธรรมทำงาน ซึ่ง “บิ๊กโจ๊ก” ได้ประกาศมาตลอดว่ายังเชื่อมั่นในระบบอยู่

ถึงตอนนั้น จะได้ทราบว่า นายตำรวจผู้มีฉายา “แมวเก้าชีวิต” นั้น จะมีชีวิตที่ 10 หรือไม่?