ทบ. สัญญาณเปลี่ยน จับตา ขั้วทหารเสือฯ ‘บิ๊กต่อ-แม่ทัพใหญ่’ และสิ่งท้าทาย ‘บิ๊กปู’ กับบทโหด ‘บิ๊กตุ๊ด’

หลังการจัดตั้งรัฐบาลผสมข้ามขั้ว สลายขั้ว สลายสีเสื้อ พรรคเพื่อไทย กับพรรคขั้วอนุรักษนิยม หันมาจับมือกัน สายอำนาจของตระกูลชินวัตร จับมือกับพรรคของ “2 ลุง” แม้จะไม่ถึงขั้นเป็นเนื้อเดียวกัน แต่ก็ทำให้บรรยากาศทางการเมืองคลี่คลายลง

โดยเฉพาะภาพพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณ ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ ครม. ที่ทำให้คนไทยปลาบปลื้มและสบายใจ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ และภาพของนายกฯ และ ครม. ที่จงรักภักดี พร้อมพระราชดำรัสให้กำลังใจ และชื่นชมว่า นายกรัฐมนตรีเป็นคนเก่ง

นายเศรษฐาเองก็เดินหน้าทำงานอย่างเต็มที่ รวดเร็ว โดยยืนยันว่า จะเป็นนายกฯ ที่ไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย

พร้อมๆ กันนั้น ก็ถอดสลักความขัดแย้งกับกองทัพ ที่เป็นเสมือนมรดกมาจากการรัฐประหาร 2 ครั้ง ที่ครั้งหนึ่ง ล้มอำนาจนายทักษิณ ชินวัตร และอีกครั้งก็ยึดอำนาจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จนต้องหนีไปใช้ชีวิตในต่างประเทศ

เมื่อครั้งที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก และต่อมาควบ รมว.กลาโหมหญิงคนแรก ก็ใช้แนวทาง “ไม่แก้แค้น แต่จะแก้ไข”

แต่ที่สุดก็ถูกรัฐประหาร โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ที่สนิทสนม และไว้ใจที่สุด

มาคราวนี้ อดีตนายกฯ ทักษิณ และยิ่งลักษณ์ ที่แม้ต้องบาดเจ็บจากการไว้ใจทหาร และถูกหลอก ก็จะไม่ใช้ไม้แข็งมาล้างบางกองทัพ โดยจะไม่ใช้คำว่า ปฏิรูปกองทัพ แต่จะใช้คำว่า พัฒนากองทัพ

แต่อาจขัดใจฝ่ายทหารอยู่บ้าง ตรงที่ รมว.กลาโหม ไม่ใช่ทหาร แต่กลับเป็นนักการเมือง ส.ส.หลายสมัยของพรรคเพื่อไทย อย่างนายสุทิน คลังแสง ที่ไม่มีความรู้และประสบการณ์ในเรื่องทหาร และความมั่นคง

เพราะมีรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหมรักษาการในเวลานั้น สนับสนุนให้บิ๊กเล็ก พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ อดีตเลขาฯ สมช. สายตรง มาเป็น รมว.กลาโหม หรือหากไม่ได้ รมว.กลาโหม ก็ควรจะเป็นเลขาฯ รมว.กลาโหม ผช.รมต. หรือที่ปรึกษานายกฯ ให้ช่วยงานกลาโหม และสายงานมั่นคง

แต่ที่สุดก็ยังคงเป็นชื่อนายสุทินชื่อเดิม ที่คาดว่าทางพรรคเพื่อไทยน่าจะเคาะตั้งแต่ต้น เพราะต้องการให้ ครม.เศรษฐา ไม่มี 2 ลุง และไม่มี รมต.ที่เป็นทหาร คงมีแต่ตำรวจ บิ๊กป๊อด พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. น้องชายบิ๊กป้อม มาเป็นรองนายกฯ ควบ รมว.ทรัพยากรฯ แต่ก็ไม่ได้คุมความมั่นคง

แต่กลับเป็นรองนายกฯ พลเรือน อย่างรองอ้วน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ มาคุมความมั่นคง ในฐานะที่เป็นสายตรงอดีตนายกฯ ทักษิณ ที่นับเวลาถอยหลัง ออกจากพื้นที่ราชทัณฑ์ หลังได้รับพระราชทานอภัยลดโทษ เหลือแค่ 1 ปี

ขณะที่เลขาธิการ สมช. ที่เคยเป็นบิ๊กทหารมาตลอดหลายปีในยุค พล.อ.ประยุทธ์ ก็คาดว่าจะเป็นบิ๊กตำรวจ ที่พลาดหวังจากเก้าอี้ ผบ.ตร. ย้ายโอนข้ามมาอยู่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อเปิดทางให้ ผบ.ตร.คนใหม่

ทั้งนี้ เพื่อลบภาพลักษณ์รัฐบาลทหาร ที่เป็นมาต่อเนื่องในยุค คสช. และพี่น้อง 3 ป. เน้นการเป็นรัฐบาลพลเรือน และเพื่อทำให้กระทรวงกลาโหมเป็นสากล คือ ใครก็มาเป็น รมว.กลาโหมได้ โดยไม่ต้องเป็นนายกฯ ปลดล็อกให้พลเรือนเข้าถึงชั้นความลับทางทหารได้

แต่ก็รอมชอมด้วยการเอาบิ๊กทหาร จาก 2 สาย 2 สี มาทำงานในกลาโหม ช่วยนายสุทิน ทั้งบิ๊กแป๊ะ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก อดีตปลัดกลาโหม ในยุค น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก่อนโดนปลด หลังรัฐประหาร 2557 ที่มาเป็น ผช.รมต. ขณะที่ตำแหน่งของ พล.อ.ณัฐพล จะเป็นดัชนีชี้วัดระดับของความรอมชอม แต่หากพลาดเก้าอี้เลขาฯ รมว.กลาโหมอีกครั้ง ก็จะเป็นการสะท้อนว่า ฝ่ายพรรคเพื่อไทยก็หวั่นภาพลักษณ์ที่จะถูกครอบงำโดยทหาร

แต่ก็เป็นที่น่าจับตามองว่า เมื่อทีมงานของ รมว.กลาโหม มาจากต่างขั้วกัน จะสามารถทำงานร่วมกันได้ราบรื่นหรือไม่

กระนั้นสัญญาณที่ดีสำหรับกองทัพก็มี คือการที่นายเศรษฐาให้ความสำคัญกับกองทัพ ด้วยการเชิญว่าที่ ผบ.เหล่าทัพใหม่ ที่จะรับตำแหน่ง 1 ตุลาคม 2566 นี้ ทั้งบิ๊กอ๊อบ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ว่าที่ ผบ.ทหารสูงสุด บิ๊กต่อ พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ว่าที่ ผบ.ทบ. และบิ๊กดุง พล.อ.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ว่าที่ ผบ.ทร. มาพบปะรับประทานมื้อกลางวันกับนายสุทิน หารือแนวทางการทำงานร่วมกัน และนโยบายความมั่นคง

โดยก่อนหน้านี้ พล.อ.ทรงวิทย์ และบิ๊กไก่ พล.อ.อ.พันธุ์ภักดี พัฒนกุล ว่าที่ ผบ.ทอ.คนใหม่ ได้เคยมาพบปะหารือกับนายเศรษฐามาก่อนแล้ว เพื่อหารือถึงนโยบายของนายกฯ ท่ามกลางบรรยากาศชื่นมื่น โดยเฉพาะไฟเขียวจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ แต่ต้องใช้ระบบการค่าต่างตอบแทน กับสินค้าเกษตร

โดยที่นายเศรษฐาระบุว่า จะช่วยประสานกับกองทัพให้ด้วย และยืนยันว่าจะทำงานร่วมกับกองทัพอย่างให้เกียรติกัน บรรยากาศระหว่างนายกฯ กับกองทัพ จึงดูไม่ตึงเครียด

พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ.

ตัดกลับมาที่ผลพวงหลังการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารชั้นนายพล ยังคงทำให้เกิดแรงกระเพื่อมรุนแรงทั้งใน ทบ. ทร. และ ทอ.

โดยเฉพาะ ทบ.นั้น เกิดวาทกรรมที่ว่า ” สัญญาณเปลี่ยน” หลังบิ๊กบี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. จัดทัพ 5 เสือ ทบ. และแม่ทัพนายกอง แบบเกินคาด

เพราะจากที่บิ๊กปู พล.ท.พนา แคล้วปลอดทุกข์ (ตท.26) แม่ทัพภาคที่ 1 จะขึ้นเป็นผู้ช่วย ผบ.ทบ. ตามเส้นทางเดินของอดีตแม่ทัพภาคที่ 1 ส่วนใหญ่ แต่กลับกลายเป็นเสนาธิการทหารบก แม้จะขึ้นเป็น ผบ.ทบ.ได้เลยก็ตาม แต่หากเป็น ผช.ผบ.ทบ. ก็จะอาวุโสกว่า

แต่ทว่า มีบิ๊กหนุ่ย พล.อ.ธราพงษ์ มาละคำ (ตท.24) ที่ปรึกษาพิเศษกองทัพบก ขึ้นมาเป็น ผช.ผบ.ทบ. คืนความชอบธรรมให้ หลังจากที่เคยหลบทางให้ พล.ท.พนา แซงหน้ามาเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ในโยกย้ายปลายปี 2565 และกลายเป็นแคนดิเดต ผบ.ทบ.อีกคน ที่มีอายุราชการถึงกันยายน 2569 ขณะที่ พล.ท.พนา เกษียณ 2570 และถือเป็นคู่แคนดิเดตที่เป็นทหารคอแดงทั้งคู่

แต่ก็มีแคนดิเดตที่เป็นทหารคอเขียว ตท.24 ทั้งบิ๊กหยอย พล.อ.อุกฤษฏ์ บุญตานนท์ เสธ.ทบ. จากที่ขึ้นมาเป็น ผช.ผบ.ทบ. เกษียณ 2570 และบิ๊กต้น พล.ท.ณัฐวุฒิ นาคะนคร ผบ.หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (นสศ.) ที่เกษียณกันยายน 2568 อะไรก็เกิดขึ้นได้ในรัฐบาลใหม่ ที่มีพรรคเพื่อไทยของนายทักษิณ ที่เวลานี้เรียกได้ว่า ไม่ธรรมดา

ขนาดสมัยเป็นนายกฯ ยังเคยสร้างประวัติศาสตร์ ทูลเกล้าฯ รายชื่อผู้บัญชาการเหล่าทัพชุดใหม่ก่อน ด้วยตนเอง เพื่อย้ายบิ๊กแอ้ด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี ที่ตอนนั้นเป็น ผบ.ทบ.มา 4 ปีแล้ว ให้ขยับขึ้นไปเป็น ผบ.ทหารสูงสุดในปีสุดท้ายก่อนเกษียณ ด้วยการที่ พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นลูกป๋าคนโปรด ยากที่จะโยกย้าย ดังนั้น นายทักษิณจึงนำขึ้นทูลเกล้าฯ เองเพื่อข้ามขั้นตอนของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีในขณะนั้น

มาตอนนี้ ท่ามกลางความขัดแย้งแตกแยก ระหว่างทหารคอเขียว และทหารคอแดง ที่มีมานายหลายปี ก็อาจจะถูกเยียวยาใหม่ก็เป็นได้

พล.ท.พนา แคล้วปลอดทุกข์

ไม่แค่นั้น ขั้วอำนาจใน ทบ. กำลังเปลี่ยนมือจาก พล.อ.ณรงค์พันธ์ ที่เกษียณจาก ผบ.ทบ. ส่งไม้ต่อให้ พล.อ.เจริญชัย แกนนำ ตท.23 ผบ.ทบ.คนใหม่ สายทหารเสือราชินี สายตรงบิ๊กตู่ ที่พยายามจะสร้างขั้วอำนาจใหม่

โดยจับตาไปที่การดันบิ๊กใหญ่ พล.ต.อมฤต บุญสุยา รองแม่ทัพภาคที่ 1 จาก ตท.27 สายทหารเสือฯ มาด้วยกัน ขึ้นเป็นแม่ทัพน้อยที่ 1 คนใหม่ และบิ๊กรุ่ง พล.ท.ชิษณุพงษ์ รอดศิริ จาก ตท.26 เป็นแม่ทัพภาคที่ 1

จากเดิมที่มีข่าวสะพัดใน ทบ.ว่า พล.อ.ณรงค์พันธ์ จะดัน ตท.28 ขึ้นเลย ทั้งรองไก่ พล.ต.วรยส เหลืองสุวรรณ และรองกอล์ฟ พล.ต.สราวุธ ไชยสิทธิ์ รองแม่ทัพภาคที่ 1 ที่ก็ชิงเก้าอี้แม่ทัพภาคที่ 1 กันเองด้วย แต่ที่สุดก็ถูกสกัดให้รอไปก่อน

อันเป็นการสะท้อนพลังอำนาจใน ทบ. กำลังมีความเปลี่ยนไป เพราะจากที่ พล.ท.พนา จะเป็นเต็งหนึ่งเดียว ผบ.ทบ.คนต่อจาก พล.อ.เจริญชัย จะเกษียณกันยายน 2567 ก็ไม่มีอะไรแน่นอนแล้ว

ขณะที่กองทัพอากาศ กลายเป็นเหล่าทัพที่มีการโยกย้ายแบบที่ลูกทัพฟ้าเรียกกันว่า โหดที่สุด เพราะนอกจากบิ๊กตุ๊ด พล.อ.อ.อลงกรณ์ วัณณรถ ผบ.ทอ. จะฉีกสัญญาใจ เสนอชื่อ พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล เป็น ผบ.ทอ.เลย แม้จะเป็นรุ่นน้อง ตท.24 ก็ตาม จนทำให้เกิดปัญหาคาใจกับบิ๊กป้อง พล.อ.อ.นภาเดช ธูปะเตมีย์ อดีต ผบ.ทอ. ผู้มีพระคุณที่เคยสนับสนุนให้เป็น ผบ.ทอ. เพราะรู้กันดีว่า พล.อ.อ.นภาเดช สนับสนุนบิ๊กณะ พล.อ.อ.ณรงค์ อินทชาติ เป็น ผบ.ทอ.

แต่โผนี้ พล.อ.อ.อลงกรณ์ ก็ยังคงให้ พล.อ.อ.ณรงค์ ขยับจาก เสธ.ทอ. เป็นรอง ผบ.ทอ. ส่วนบิ๊กหลวย พล.อ.อ.วรกฤต มุขศรี น้องรักบิ๊กป้อง ยังเป็น ผบ.คปอ.

พล.อ.อ.อลงกรณ์ ยอมรับว่า การจัดโผโยกย้ายครั้งนี้ หนักที่สุด เจอแรงกดดันจากหลายทาง หลายคน จนถึงขั้นที่แทบกระอักเลือดเลยทีเดียว แต่ยืนยันว่า รักน้องๆ แคนดิเดตทุกคน

แต่จำเป็นต้องเลือก พล.อ.อ.พันธ์ภักดี เพราะต้องการให้ทำงานต่อเนื่อง เนื่องจากมีอายุราชการอีก 2 ปี

พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล

แม้ พล.อ.อ.อลงกรณ์ จะเป็นนายทหารอารมณ์ดี ร่าเริง ชอบการเต้นรำ แต่ที่ถูกมองว่าโหด ก็คือ การจัดวาง 5 ฉลามอากาศ ที่ทุกคนจะเกษียณราชการหมดในปีหน้า เหลือแค่ เสธ.คิม พล.อ.ท.เสกสรร คันธา (ตท.26) ที่ขยับแบบฟาสต์แทร็ก จากเจ้ากรมยุทธการทางอากาศ เป็นเสนาธิการทหารอากาศ และเกษียณ 2571 อยู่คนเดียว

ก่อนหน้านี้ ช่วงที่ยังไม่มีประกาศการแต่งตั้งโยกย้าย เมื่อมีกระแสข่าวนี้ออกมาในกองทัพอากาศ กลับไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ที่จะดัน พล.อ.ท.เสกสรร ขึ้น เสธ.ทอ.เลย แต่ในที่สุดมันก็เป็นจริง

ที่สำคัญต้องโยกย้ายนายทหารระดับรองเสนาธิการทหารอากาศที่เป็นรุ่นพี่ ตท.25 ออกไปเป็นพลอากาศเอกในตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทอ.กันทั้ง 3 คน เพื่อเปิดทางให้ พล.อ.ท.เสกสรร ขึ้นมา แม้แต่รองเจ๋ง พล.อ.ท.มนัท ชวนะประยูร ที่เป็นตัวเต็ง เสธ.ทอ. หรือ ผบ.คปอ. ก็ผิดหวังเพราะเป็นที่รู้กันดีว่า ไม่ใช่น้องเลิฟของบิ๊กป้อง แม้จะดัน ตท.25 ขึ้นมาเป็นรอง เสธ.ทอ.แทนก็ตาม แค่ก็เป็นคนละสาย

แต่ในอีกมุมหนึ่งนั้นถือเป็นความจำเป็นที่ พล.อ.อ.อลงกรณ์ ต้องดัน พล.อ.ท. ขึ้นเป็น พล.อ.อ. เพื่อเตรียมรองรับตำแหน่งสำคัญในการโยกย้ายปลายปีหน้าเนื่องจากเกษียณราชการหลายพลอากาศเอก และอัตราพลอากาศเอกพิเศษ เช่น รอง ผบ.ทอ. ผช.ผบ.ทอ. รองปลัดกลาโหม รอง ผบ.ทหารสูงสุด จะได้มีพลอากาศเอกเพียงพอ

พล.อ.ท.เสกสรร คันธา

สําหรับ พล.อ.ท.เสกสรร ถือเป็นคนเก่งของ ทอ. ที่ถูกวางตัวเป็น ผบ.ทอ.ต่อจาก พล.อ.อ.พันธ์ภักดี เกษียณ 2568 เป็นนักบินขับไล่ อดีต ผบ.กองบิน 4 ผช.ทูตทอ. ประจำลอนดอน ผบ.รร.การบินกำแพงแสน และเจ้ากรมยุทธการ ทอ. ที่ขึ้น 5 ฉลามอากาศ ได้เลยเป็นครั้งแรก คาดว่าจะยึดหลักการของกองทัพเรือที่เจ้ากรมขึ้น 5 ฉลาม ทร. ได้เลย สร้างความฮือฮาให้ลูกทัพฟ้า

ดังนั้น จึงต้องจับตามองว่า เมื่อ พล.อ.อ.พันธ์ภักดี ขึ้นเป็น ผบ.ทอ.แล้ว ในโยกย้ายปลายปีหน้า จะดึง พล.อ.อ.มนัท น้องรักมาอยู่ในท็อปไฟว์หรือไม่ แม้ไม่มีโอกาสเป็น ผบ.ทอ. เพราะเกษียณพร้อมกัน แต่ก็คืนความชอบธรรมให้ รวมทั้ง พล.อ.อ.ไวพจน์ เกิงฝาก แกนนำ ตท.25 ที่เกษียณ 2570 ก็อาจจะถูกดึงกลับมาให้เป็นแคนดิเดต ได้ทำงานแข่งกันก็ตาม แม้ว่า พล.อ.ท.เสกสรร จะมาแรงที่สุดก็ตาม

แต่ก็ถือว่าจบศึกโยกย้ายครั้งนี้ส่งผลให้ดอนเมืองยังคงมีรอยปริแตกร้าวมากกว่าเดิม แม้แต่รอยร้าวในใจของพี่ป้อง กับน้องตุ๊ด รวมถึงพี่ตุ๊ด กับน้องๆ แคนดิเดตอีกหลายคน ที่ล้วนไม่มีโอกาสแก้มืออีกแล้ว เพราะจะเกษียณราชการแล้ว

แต่ด้วยความเป็นนายทหารที่เป็นน้องรักของพี่ๆ มายาวนาน ก็คาดว่า พล.อ.อ.พันธ์ภักดี จะเยียวยารอมชอมด้วยหัวใจ เพราะมีข่าวว่าเดินสายพบอดีต ผบ.ทอ. และพี่ๆ แคนดิเดต ผบ.ทอ. ที่พลาดหวังแล้ว

ดังนั้น แม้การเมืองภาพใหญ่จะดูรอมชอม สลายขั้ว ลดความขัดแย้ง แต่ทว่า ความขัดแย้งในกองทัพ กลับยิ่งร้าวลึก