‘เรื่องเล่า’ | ปริญญากร วรวรรณ

ม.ล.ปริญญากร วรวรรณ

ซุ้มบังไพร ห่างจากแคมป์พักในระยะการเดินราว 45 นาที อยู่ใกล้โป่งซึ่งอยู่ติดลำห้วย หันหลังให้ทิศตะวันออก

ดังนั้น ตั้งแต่เวลาบ่าย แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามา ทำให้ข้างในซุ้มร้อนอบอ้าวราวกับเตาอบ ไม่มีลมพัดผ่าน ทนอยู่กับความอบอ้าว

แต่การปิดซุ้มบังไพรอย่างมิดชิดช่วยได้มาก และได้ผลพอสมควร กระทิงฝูงหนึ่งวนเวียนอยู่ในโป่งตลอด แม้ว่านานๆ พวกมันจะหันมองมาทางซุ้มด้วยท่าทีสงสัยบ้าง

ระยะห่างระหว่างเราไม่ใกล้นัก เป็นระยะที่พวกมันอนุญาต ผมจึงได้รับโอกาสให้เฝ้ามองพวกมันได้นาน

ใกล้ๆ กระทิง มีวัวแดงตัวผู้สีคล้ำ ผอม ดูเหมือนจะมีสุขภาพไม่ดี เดินไปมา

กวางตัวเมียที่คอเป็นแผลกว้าง แผลที่คนเรียกว่า เรื้อนกวาง เดินเข้ามากินน้ำในแอ่งเล็กๆ หน้าซุ้ม

แผลที่คอเต็มไปด้วยแมลงหวี่ เห็นเป็นจุดดำๆ ผมมองกวางตัวนั้นที่ก้มกินน้ำ สลับเงยหน้า หันมองไปรอบๆ การออกมาสู่ที่โล่งนั้น เปิดโอกาสให้สัตว์ผู้ล่า เข้าถึงตัวได้ง่าย

แต่การออกมาในขณะที่มีกระทิงและวัวแดงอยู่ด้วย ช่วยให้มันวางใจ รวมทั้งมีดวงตาหลายคู่ช่วยกันระวัง

กวางเงยหน้าดูรอบๆ แม้ว่าตำแหน่งดวงตาซึ่งค่อนมาทางหู จะช่วยให้มองเห็นรอบๆ ได้โดยไม่ต้องเงยหน้าก็เถอะ แต่เพื่อความมั่นใจ มันใช้วิธีเงยหน้า สลับก้มกิน ดวงตากลมโต ดำขลับขนตายาวสลวย

วัวแดงตัวผอม อยู่ร่วมในฝูงกระทิงที่มีลูกเล็ก ท่าทางซน วิ่งไปทางโน่นทางนี้ ตัวแม่มองด้วยสายตาเป็นห่วง

ผมนั่งมองด้วยสายตาเปล่า ไม่ผ่านช่องมองภาพ

นี่อาจเป็นสิ่งอันทำให้ผม “เห็น” สิ่งที่พวกมันเป็น

 

ผมใช้เวลาที่ซุ้มบังไพรนั้นหนึ่งสัปดาห์ นอกจากกระทิงแล้ว ผมไม่พบสัตว์ฝูงอื่น มีรอยตีนเสือโคร่งเดินผ่านหน้าซุ้มบังไพรในช่วงเช้ามืด วัวแดงตัวผอมหายไปแล้ว บางทีเสือคงทำหน้าที่ของมันแล้ว

ผมเก็บสัมภาระ และเริ่มต้นเดินกลับตอนสาย

ขณะถึงดงไผ่ และเหลือระยะทางอีกสัก 5 ชั่วโมงจะถึงหน่วยพิทักษ์ป่า

ช้างฝูงหนึ่งมีลูกเล็กๆ รวมอยู่ด้วยกำลังข้ามลำห้วยอย่างรีบเร่ง

อีกสองตัวยืนหลังไผ่กอใหญ่

อีกครึ่งวันจะถึงจุดหมาย ผมได้รับบทเรียนอีกบทหนึ่ง

บทเรียนนี้ได้รับตอนช้างตัวหนึ่งวิ่งเข้าโจมตี

 

กลิ่นอายของความตึงเครียดเริ่ม และสัมผัสได้เมื่อผมก้าวเท้าไปข้างหน้าอีกสองก้าว เข้าใกล้ช้างที่ยืนหลังไผ่กอใหญ่

ช้างหนึ่งในสองตัวขยับตัวเร็วพร้อมพุ่งตรงเข้ามา ลดกล้องลง ขยับถอย ร่างทะมึนเข้าถึงตัว ปลายงวงเหวี่ยงวืดผ่านร่างผมไปในระยะไม่เกินศอก

นี่เป็นหนึ่งในวิธีที่ช้างใช้ต่อกรกับสัตว์ผู้ล่า คือ ใช้งวงจับเหวี่ยงไปไกลๆ หรือดึงเข้าหาเพื่อใช้ตีนเหยียบ

ผมรู้สึกได้ถึงกระแสลมที่วืดผ่านลำตัว

ผมถอยห่าง ร่างทะมึนนั้นหยุดในท่ายกขาซ้ายค้างอยู่ชั่วครู่ ก่อนลดลง และหันหลังค่อยๆ เดินจากไป

ก่อนมันหันหลัง ผมมีโอกาสสบสายตา ไม่มีแววโกรธเกรี้ยว มันเพียงจะสั่งสอนให้ผมรักษาระยะห่างที่มันกำหนด

ช้างป่า – ลูกช้างที่ยังเล็ก จะได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากแม่ และช้างซึ่งทำหน้าที่พี่เลี้ยง

ทุกสิ่งกลับคืนสู่ความเงียบ ผมปลดเป้ลงจากหลัง วางกล้อง นั่งหลังพิงต้นไม้ ผึ้งบินเข้าตอมใบหน้าชุ่มเหงื่อ ถอดหมวก เปิดกระบอกน้ำยกขึ้นดื่ม

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมถูกสั่งสอน และคงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย เพราะชีวิตซึ่งต้องพบปะ หรืออยู่ร่วมกันย่อมมีเหตุในอันที่จะกระทบกระทั่งกันได้เสมอ

โดยเฉพาะหากมีฝ่ายหนึ่งไม่เคารพ หรือให้เกียรติ อยู่ในระยะอันเหมาะสม

 

ป่าทั่วบริเวณคล้ายจะเงียบสงัด ฝนเริ่มตกบ้างแล้ว หลังจากทิ้งช่วงไปนาน เป็นช่วงเวลาที่เหล่าสัตว์ป่าต่างต้องเร่งหาอาหารบำรุงร่างกาย พ่อ แม่ นกสาละวนกับการเลี้ยงดูลูก นกไม่ค่อยส่งเสียง ต่างทำกิจกรรมของตัวเองไปเงียบๆ อีกสักสองเดือน เมื่อสายลมหนาวระลอกแรกเดินทางมาถึงนั่นแหละป่าจะเริ่มมีเสียงมากขึ้น

ผมหลับตา ทบทวนเหตุการณ์เมื่อสักครู่

ความรู้สึกแรกคือ เสียใจ เป็นความเสียใจที่เกิดขึ้นเสมอหลังจากที่ก้าวล้ำเข้าไปในระยะที่สัตว์ป่าไม่อนุญาต ทำให้พวกมันก้าวร้าว หรือตื่นหนี

กับอีกความรู้สึกหนึ่ง การถูกปฏิเสธจากชีวิตที่เราพยายามเข้าใกล้ก็ดูคล้ายเป็นเรื่องเศร้าแบบหนึ่ง

ในทางกลับกัน หากความเชื่อผมเป็นอีกแบบ อาการก้าวร้าวเข้าโจมตีของช้าง ย่อมเห็นเป็นภาพสัตว์ดุร้ายตัวหนึ่งวิ่งเข้าหา

อีกทั้งหากผู้นั้นมีปืนอยู่ในมือ เรื่องทำนองนี้อาจหนีไม่พ้นโศกนาฏกรรม

 

พรุ่งนี้ผมจะออกจากป่า พร้อมกับเรื่องเล่าอีกหนึ่งเรื่อง

เรื่องเล่าจากป่ามีมาก มีหลากหลายความเชื่อ คนมากมายมีประสบการณ์อันแตกต่าง

แต่หากมองอย่าง “เห็น” ชีวิตรวมทั้งความเป็นไป

ป่าไม่ใช่แหล่งอาศัยของสัตว์ร้ายอันตราย มีเพียงชีวิตซึ่งทำหน้าที่ของพวกมัน

“เรื่องเล่า” จากป่า จะเป็นอีกแบบหนึ่ง

และจะทำให้ความหวังในการอยู่ร่วมกันของทุกชีวิต เข้าใกล้กับความเป็นจริง… •

 

 

 

หลังเลนส์ในดงลึก | ปริญญากร วรวรรณ