ผลกระทบจากสงคราม ผู้ลี้ภัย และน้ำมันแพง ตลอดปี 2567

มุกดา สุวรรณชาติ
(Photo by Anatolii Stepanov / AFP)

ผลกระทบจากสงคราม
ที่ชายแดนไทย-พม่า
เกิดปัญหาผู้ลี้ภัย

1.รัฐบาลไทยต้องเตรียมพร้อมในเรื่องการช่วยเหลือด้านสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะผู้อพยพชาวพม่าซึ่งทะลักเข้ามาที่ชายแดนประเทศไทย ให้มีที่พัก อาหาร และการรักษาพยาบาลที่เพียงพอ

ต้องเจรจากับทุกฝ่ายให้มีเขตปลอดการสู้รบ หลายจุด เพื่อให้ผู้ลี้ภัยสามารถอยู่ในแดนพม่าให้มากที่สุด เพราะไม่มีใครรู้ว่าสงครามจะขยายไปแค่ไหน ยืดเยื้อนานเท่าใด ผู้อพยพจะมากแค่ไหน อาจมีเป็นล้านคน

ต้องให้ความช่วยเหลือ เพื่อดำรงชีวิต ผู้หนีภัยต้องมีอาหารกิน มีน้ำสะอาดบริโภค ถ้าหากเกิดโรคระบาดอาจจะมีผลทั้งฝั่งพม่าและประเทศไทย

2. ในทางการเมืองรัฐบาลจะต้องมีตัวแทนเจรจาคบหากับทุกฝ่าย ทุกกลุ่ม การเป็นกลางไม่ใช่การอยู่เฉยๆ ถ้าได้รับการยอมรับอาจช่วยเจรจาให้สถานการณ์ดีขึ้น เพราะในช่วงสุดท้ายของความขัดแย้งที่มีกองกำลังหลายกลุ่ม ยังต้องจบด้วยการเจรจา

3. ต้องพยายามให้มีการส่งสินค้า มีการค้าขาย ดำเนินต่อไป สินค้าอุปโภคบริโภคที่ส่งเข้าไปในพม่า จะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดำเนินต่อไปได้ทั้งฝั่งไทยฝั่งพม่า ทำให้ผู้อพยพน้อยลง

 

ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ

ถ้ายังมีการสู้รบชิงพื้นที่รอบเมียวดี จะส่งผลกระทบต่อการค้าชายแดนไทย-พม่า เนื่องจากด่านเมียวดี-แม่สอดคือด่านการค้าสำคัญ ได้แก่ อาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค อุปกรณ์ก่อสร้าง และน้ำมัน

โดยการส่งออกผ่านเส้นทางเมียวดีไปย่างกุ้งและหงสาวดีย่อมได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน การค้าระหว่างไทย-พม่านั้น 90% เป็นการค้าชายแดน ซึ่งมีมูลค่าส่งออกและนำเข้าผ่านด่านเมียวดี-แม่สอด จ.ตาก ปีละประมาณ 1 แสนล้านบาท

รายได้รัฐบาลทหารพม่าลดลง อิทธิพลและอำนาจก็จะลดลง

รายได้จากทรัพยากร เช่น หยก แร่และป่าไม้ กลุ่มชาติพันธุ์ทางภาคเหนือคงไม่แบ่งให้แล้ว

รายได้จากการท่องเที่ยว เพราะนักท่องเที่ยวลดลงอย่างมาก

รายได้จากภาษีค้าขายซึ่งต่อไปสินค้าผ่านเขตใคร กลุ่มที่คุมเขตนั้นก็จะเป็นคนเก็บภาษี

รัฐบาลยังมีรายได้แหล่งสุดท้ายจะมาจากทางด้านทะเลซึ่งมีท่าเรือและทรัพยากรทางทะเลหรือสัมปทานขุดเจาะน้ำมัน และก๊าซ

 

ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
ปัญหาฝุ่น PM 2.5

ถ้าเรายอมรับว่าฝุ่น PM 2.5 มาจากการเผาป่าหรือไฟไหม้ป่า การเผาป่าทางด้านประเทศพม่า ขณะนี้ไม่ได้เกิดจากที่พวกเขาทำการปลูกอ้อย ข้าวโพด หรือพืชเกษตรเพื่อนำมาขาย ดังนั้น ต่อให้ประกาศว่าจะไม่ซื้อพืชเกษตรที่ผ่านการเผามาแล้วก็จะไม่มีผลอะไร

เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความจำเป็นในการดำรงชีวิตในยามสงครามของประชาชน โดยเฉพาะข้าวซึ่งเป็นธัญพืชหลัก บางส่วนอาจจะเป็นข้าวโพด ในสภาพสงครามแบบนี้ ทุกกลุ่มในทุกพื้นที่ของประเทศพม่าไม่สามารถมีหลักประกันใดๆ ว่าจะมีข้าวปลาอาหารส่งมาถึง การพึ่งตนเองจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด ดังนั้น ในทุกกลุ่มชาติพันธุ์แม้แต่คนพม่าที่อยู่ในพื้นที่ราบต่างๆ ก็ต้องหาวิธีสะสมข้าว

การเปิดพื้นที่เพาะปลูกไม่ว่าจะในที่ราบหรือตามเชิงเขาจึงเป็นเรื่องปกติ และส่วนใหญ่ในสภาพขณะนี้แทบทุกจุดจะใช้การเผาไร่เก่าหรือฟางในท้องนาและทำการปลูกข้าวใหม่ลงไป ไม่ต้องไปพูดถึงรถไถ ซึ่งไม่สามารถใช้ในพื้นที่ที่ลาดชันได้และไม่มีน้ำมัน ดังนั้น เมื่อฤดูแล้งมาถึง การเผาครั้งมโหฬารจึงเกิดขึ้นแทบจะทุกจุดที่ปลูกข้าวได้ เมื่อฝนมาการเผาก็หยุดลง และการปลูกข้าวก็จะเริ่มขึ้น ปล่อยให้เติบโตไปจนถึงฤดูเก็บเกี่ยว

การกักเก็บข้าวไว้เป็นอาหารในเขตที่ห่างไกลเป็นเรื่องจำเป็น มีเฉพาะบางเขตเท่านั้นที่มีความสะดวกเนื่องจากมีการค้าขายมีถนนหนทางดี

ข้าวจึงมีความสำคัญเท่ากับอาวุธเพราะกองทัพที่ไม่มีเสบียงย่อมอยู่ไม่ได้ ทุกกลุ่มชาติพันธุ์จึงต้องเน้นการเตรียมเสบียงเป็นสำคัญ เพราะไม่รู้ว่าสภาพสงครามจะทำให้ถูกปิดล้อมเมื่อใดหรือสงบเมื่อใด

การใช้ชีวิตในเขตนอกเมือง เมื่อไม่มีน้ำมัน ไม่มีก๊าซ หรือมีแต่หายากมาก สิ่งที่ชาวบ้านจะทำได้ก็คือใช้ไม้ฟืน หรือถ่านเป็นเชื้อเพลิงในการหุงหาอาหาร ซึ่งทั้งหมดต้องผ่านการเผา

ดังนั้น การเผายังคงอยู่อีกนาน

 

ผลกระทบจากสงครามตะวันออกกลาง
จากฉนวนกาซาจะขยายเป็น
สงครามภู
มิภาคตะวันออกกลางหรือไม่?

สถานการณ์ล่าสุดที่อิหร่านโจมตีอิสราเอลและอิสราเอลโต้ตอบกลับเมื่อคืนวันที่ 18 เมษายน อิหร่านยืนยันว่า ไม่ได้โดนยิงด้วยขีปนาวุธ เป็นเพียงแค่การโจมตีด้วยโดรน ส่วนโรงงานนิวเคลียร์ในอิหร่านยังคงทำงานเป็นปกติและไม่ได้ถูกโจมตีแต่อย่างใด นักวิเคราะห์เชื่อว่าอิสราเอลโจมตีเชิงสัญลักษณ์มากกว่าทำลายล้าง

โดยอิสราเอลต้องการส่งสัญญาณแก่อิหร่านว่า “เราเพียงแสดงให้พวกเขาเห็นว่าเราสามารถแทรกซึม และโจมตีภายในดินแดนของอิหร่านได้ แต่พวกเขาไม่สามารถโจมตีถึงดินแดนของพวกเรา ขณะนี้เรามีภารกิจที่สำคัญกว่าในฉนวนกาซาและเลบานอน”

ดูจากท่าทีทั้งสองฝ่าย นักวิเคราะห์ประเมินว่าสถานการณ์ความรุนแรงของสงครามระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ไม่ขยายตัว แต่ก็ไม่สงบ การยืดเยื้อมีผลดีเฉพาะผู้ค้าอาวุธ

ถ้าสงครามขยายตัวไปสู่ระดับกลาง อิสราเอลต่อสู้กับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ของเลบานอน กบฏฮูตีในเยเมน และซีเรีย ยืดเยื้อไปเรื่อยๆ น้ำมันจะแพงขึ้นอีก เพราะมีจุดเสี่ยงสำคัญที่สุดของเศรษฐกิจการค้าโลกอยู่ที่บริเวณพื้นที่ยุทธศาสตร์สองจุดบริเวณตะวันออกกลาง

จุดแรก คือ คลองสุเอซเชื่อมต่อมายังทะเลแดงไปออกช่องแคบบับ เอล-มันเดบ บริเวณประเทศเยเมน เป็นเส้นทางเดินเรือของระบบการค้าโลก

จุดที่สอง คือ บริเวณช่องแคบฮอร์มุซ หรือ Strait of Hormuz ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่มีผลต่อการขนส่งน้ำมันของโลกออกจากหลายประเทศในอ่าวเปอร์เซีย ช่องแคบแห่งนี้เป็นจุดยุทธศาสตร์ทางทหารและเศรษฐกิจ

เวลาเกิดปัญหาจึงสะเทือนไปถึงประเทศใหญ่ เช่น จีน อินเดีย ญี่ปุ่น อเมริกา จนต้องมีปฏิกิริยา และกระทบผู้ใช้น้ำมันทั่วโลก

 

โอกาสที่น้ำมันจะแพงมาก
กระทบประชาชนทั้งโลก

คือสถานการณ์ที่สหรัฐอเมริกากำลังขอความช่วยเหลือจากจีน พันธมิตร G 7 และซัพพลายเออร์รายใหญ่อื่นๆ ระดับโลกเพื่อคว่ำบาตรอิหร่าน หวังทำลายความสามารถของอิหร่านในการส่งออกน้ำมันต่อไป และระงับการค้าขายชิพที่จำเป็นสำหรับโดรนที่ใช้โจมตีอิสราเอล

ความขัดแย้งแม้ยังไม่ขยายตัวในขณะนี้ แต่จะทำราคาน้ำมันผันผวนและอาจปรับตัวสูงขึ้นทะลุ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้

หากอิหร่านถูกคว่ำบาตรจริง และโต้ตอบด้วยการปิดช่องแคบฮอร์มุซ จะกระทบต่อเศรษฐกิจการค้าโลกรุนแรง และราคาน้ำมันอาจพุ่งขึ้นไปสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ได้

ปัจจุบันประเทศไทยนำเข้าน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางสัดส่วน 57% ความเสี่ยงจากสงครามอิสราเอล-อิหร่าน จึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยกำลังจับตาอย่างใกล้ชิด รัฐบาลจะอุ้มดีเซลต่อ หรือปล่อยตามกลไกตลาด

หากเลือกมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 1 บาทต่อลิตรนั้น ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ 2,000 ล้านบาทต่อเดือน หากจะใช้เงินกองทุนน้ำมันมาอุดหนุนก็ทำได้ยากมาก เพราะขณะนี้มีสภาพติดลบมากถึง 103,620 ล้านบาท

วันนี้เราเห็นน้ำมันเบนซินราคา 40 บาท โอกาสที่จะเห็น 45 บาทอยู่ไม่ไกล การพยุงราคาน้ำมันดีเซลไว้ที่ 30 บาท ไม่น่าทำได้ ก๊าซหุงต้มคงจะราคาพุ่งต่อ