‘แอนโทนี หว่อง’ ความจริงใน ‘ฮ่องกง’ ความหวังใน ‘มนุษยชาติ’

คนมองหนัง

“แอนโทนี หว่อง” หรือ “หัวชิวเซิง” คือนักแสดงลูกครึ่งอังกฤษ-ฮ่องกงมากฝีมือ ซึ่งคนดูหนังฮ่องกง-หนังจีนในบ้านเราน่าจะรู้จักคุ้นเคยเป็นอย่างดี กับหลากหลายบทบาทที่เขาเคยถ่ายทอดผ่านจอภาพยนตร์

ย้อนกลับไปเกือบทศวรรษก่อน เมื่อปี 2014 นักแสดงผู้นี้คือหนึ่งในคนบันเทิงฮ่องกงจำนวนน้อยรายที่ออกมาส่งเสียงสนับสนุน “ขบวนการปฏิวัติร่ม” ซึ่งเป็นการชุมนุมประท้วงเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ทั้งยังแสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์พรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างเปิดเผย

นั่นส่งผลให้เขาเป็นดาราที่ติดแบล็กลิสต์อยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง แถมมีกระแสข่าวลือว่า เขาอาจจะต้องย้ายไปทำงานและพำนักอาศัยที่ประเทศอื่น

ล่าสุด หว่องเพิ่งให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเซาธ์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์เกี่ยวกับโปรเจ็กต์ละครเวทีเรื่องใหม่ของตนเอง และยังได้ตอบคำถามว่า ทำไมสุดท้ายแล้วเขาจึงเลือกจะยืนหยัดอยู่ที่บ้านเกิดอย่างฮ่องกงต่อไป

Photo: Jonathan Wong

ตลอดสามปีที่ผ่านมา แอนโทนี หว่อง เดินทางไปๆ มาๆ ระหว่างฮ่องกงกับไต้หวัน ซึ่งว่ากันว่าอาจเป็นประเทศใหม่ที่เขาจะย้ายไปปักหลัก

อย่างไรก็ดี หว่องยืนยันว่าเขาไม่คิดจะย้ายออกจากฮ่องกง และตนเองเดินทางไปไต้หวันเพราะเรื่องงานเท่านั้น

“ทุกคนต่างพากันพูดถึงเรื่องนั้น (เรื่องที่หว่องจะย้ายไปอยู่ไต้หวัน) หลายคนคิดเรื่องนู่นนี่มากมายเกี่ยวกับผม แต่ไม่ได้หมายความว่าเรื่องที่พวกเขาคิดจะเป็นเรื่องจริง…

“ผู้คนมักเข้ามาถามผมเสมอว่า ‘เมื่อไหร่คุณจะกลับมา?’ คุณจะให้ผมกลับมาจากไหน? จะให้ผมเดินทางจากฮ่องกงกลับมาที่ฮ่องกงเหรอ?”

Photo: Jonathan Wong

แม้ก่อนหน้านี้ หว่องจะเคยวิพากษ์สังคมฮ่องกงภายใต้การปกครองของจีนแผ่นดินใหญ่อย่างเผ็ดร้อน แต่เขาก็ยังเลือกจะอยู่ที่นี่

“ผู้คนมา แล้วผู้คนก็ไป เว้นเสียแต่ว่าประชากรฮ่องกงจะลดลงจนเหลือแค่สองล้านคน ซึ่งนั่นไม่มีทางเป็นไปได้ ตราบใดที่ยังมีผู้คน พวกเราก็ยังต้องต่อสู้ดิ้นรนกันต่อไป มันไม่สำคัญหรอกว่า สิ่งที่อยู่รอบตัวเรามันจะย่ำแย่ขนาดไหน ยายของผมเคยเล่าให้ฟังถึงช่วงสงครามโลกและซากศพที่เกลื่อนถนน แล้วยังไงล่ะ? สุดท้ายชีวิตก็ต้องดำเนินไป”

เช่นเดียวกับที่ครั้งหนึ่งหว่องเคยวิจารณ์นโยบายเซ็นเซอร์ของภาครัฐ แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัจจัยหลักที่จะขับไล่เขาออกจากฮ่องกง

“คุณไม่รู้หรอกว่าการเซ็นเซอร์มันจะมาอย่างไร-เมื่อไหร่ มันก็เหมือนคดีฆาตกรรมจำนวนมาก คุณจะไปรู้ได้อย่างไรว่าจะมีใครบางคนชักมีดออกมา แล้วก็แทงมีดเล่มนั้นไปยังใครสักคน การโจมตีเหล่านี้มันเกิดขึ้นตามอำเภอใจและไม่เลือกเป้าหมาย

“มันเลยเป็นเรื่องน่าขัน ถ้าเราจะต้องไปกลุ้มใจในสิ่งที่ทำให้ตัวเองสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ คุณไม่สามารถมองหาเหตุผลจากการกระทำที่ไร้สติได้หรอก”

หว่องกับรางวัลม้าทองคำสาขานักแสดงนำชาย ในงานประกาศรางวัล Golden Horse Awards ครั้งที่ 59 ที่กรุงไทเป ประเทศไต้หวัน วันที่ 19 พฤศจิกายน 2022 / Photo: AP

หว่องอธิบายว่า จริงๆ แล้ว เขาเลือกจะเผชิญหน้ากับความเป็นจริงในฮ่องกง เพราะความไม่สิ้นหวังในมนุษยชาติ

“มันน่าจะถูกต้องกว่า ถ้าพูดว่าผมไม่สิ้นหวังในมนุษยชาติ เพราะปัญหาแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับฮ่องกงเพียงที่เดียว ถ้าคุณลองมองออกไปยังโลกใบนี้ด้วยเลนส์ที่กว้างขึ้น และไม่โฟกัสแค่สถานที่ใดสถานที่หนึ่ง หรือยุคสมัยใดยุคสมัยหนึ่ง คุณก็จะสามารถเข้าใจบริบทของสิ่งต่างๆ ได้

“ที่ไหนมีผู้คน ที่นั่นย่อมมีความหวัง คุณจะต้องพยายามมีชีวิตต่อไป ความศรัทธามันไม่เคยลดน้อยลง ไม่ว่าคุณจะพยายามลดทอนคุณค่าของมันอย่างไรก็ตาม

“ลองมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์สิ ทุกๆ สิ่ง (ที่เราเผชิญอยู่) มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วทั้งนั้น เช่น ในยุคกลาง ประวัติศาสตร์มันเกิดซ้ำตลอดเวลา

“ถ้าเชื่อสมมุติฐานว่าผู้คนมีเจตจำนงที่จะมีชีวิตอยู่ ไม่ว่านั่นจะเป็นเจตจำนงส่วนบุคคลหรือเจตจำนงรวมหมู่ก็ตาม โดยธรรมชาติแล้ว พวกเราล้วนมีความหวังถึงอนาคตที่ดีกว่า นั่นคือสัญชาตญาณพื้นฐานของเราที่ต้องการจะดำเนินชีวิตต่อไป

“ผู้คนไม่ได้มีเจตนาที่จะปล่อยตัวเองให้อดตายไปเฉยๆ หรอก และนั่นก็คือเรื่องเรียบง่าย เหมือนที่เราต้องการนอนหลับ, พักผ่อน, กินอาหาร และหายใจ

“ภายใต้สภาวะเหล่านั้น ความหวังในมนุษยชาติจะยังคงดำรงอยู่ต่อไป” •

 

ข้อมูลจาก https://www.scmp.com/lifestyle/arts-culture/article/3224150/you-cannot-reason-insane-actor-anthony-wong-censorship-favourite-stage-play-meaning-love-and-why-hes

 

| คนมองหนัง