ให้เวลา Vision Pro ได้เติบโต

จิตต์สุภา ฉินFacebook.com/JitsupaChin

Cool Tech | จิตต์สุภา ฉิน

Instagram : @sueching

Facebook.com/JitsupaChin

 

ให้เวลา Vision Pro ได้เติบโต

 

คนที่ชื่นชอบเทคโนโลยี คนที่ทำงานอยู่ในแวดวงเทคโนโลยี ไปจนถึงแฟนพันธุ์แท้ของ Apple น่าจะเห็นตรงกันว่าการมาถึงของ Vision Pro เป็นสิ่งที่สร้างบรรยากาศความสดชื่นสดใหม่หรืออาจจะเรียกว่าทำให้รู้สึกกระชุ่มกระชวยเลยก็ได้

ถึงแม้ว่าอุปกรณ์สวมศีรษะประเภทนี้จะเคยมีใครทำมาแล้วตั้งหลายต่อหลายราย แต่ Vision Pro นับเป็นดีไวซ์ที่เปิดหมวดหมู่ใหม่เอี่ยมของ Apple เองในรอบนับสิบปี

และทุกครั้งที่ Apple ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ไม่เคยทำมาก่อนแบบนี้ก็ทำให้เราอยากรู้จนตัวสั่นว่า Apple จะตีความผลิตภัณฑ์นั้นๆ แตกต่างจากคนอื่นยังไงบ้าง

ก่อนงาน WWDC ที่คูเปอร์ติโน สหรัฐอเมริกา จะจบลง Apple ได้เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนที่เป็นตัวแทนจากแต่ละประเทศได้ทดลองการใช้งาน Vision Pro ในระยะเวลาที่จำกัดในสถานที่ใหม่ที่สร้างขึ้นมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ภายใต้เงื่อนไขว่าไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพหรือวิดีโอในระหว่างที่กำลังใช้อยู่ ทำได้เพียงแค่ทดลองใช้ ถามคำถาม และจำรายละเอียดกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาเล่าต่อเท่านั้น

ทุกคนที่มีโอกาสได้ทดลองใช้ (ปาดน้ำตา เพราะฉันไม่ได้เป็นหนึ่งในนั้น) ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าประสบการณ์การใช้งานดีจนตื่นตะลึง บางคนขนลุก บางคนน้ำตาไหลโดยไม่ได้ตั้งใจอันเนื่องมาจากความสมจริงของภาพที่ได้เห็นตรงหน้า

 

จากที่ฟังมาฉันคิดว่าสิ่งที่ Apple ตั้งใจทำเป็นอย่างมากก็การลดข้อจำกัดที่มาพร้อมอุปกรณ์สวมศีรษะ ปกติแล้วอุปกรณ์ VR เป็นสิ่งที่เมื่อเราสวมเข้าไปก็จะตัดขาดจากโลกภายนอกทันที ดังนั้น Apple จึงออกแบบ Vision Pro มาเพื่อให้ผู้สวมใส่กับคนรอบตัวยังสามารถมองเห็นกันได้ผ่านการฉายภาพจากกล้อง

คนสวมต่อให้กำลังเปิดโหมดดูหนังเต็มรูปแบบแค่ไหน แต่ถ้ามีใครเดินเข้ามาใกล้ๆ มันก็จะค่อยๆ แสดงภาพของคนนั้นๆ ปรากฏให้เราเห็นขึ้นมาบนจอเพื่อไม่ให้เราตัดขาดปฏิสัมพันธ์กับโลกความเป็นจริง

และยังมีโหมดที่ทำให้คนอื่นรอบตัวไม่รู้สึกว่าเราหลุดหายเข้าไปในโลกแฟนตาซี ซึ่งก็คือโหมดที่อยู่ในภาพโฆษณาที่ทุกคนน่าจะได้เห็นกันแล้ว (และแซวว่าเหมือนแว่นเจ๊ไฝ) ภาพของผู้หญิงที่สวม Vision Pro แต่ตรงกลางจอโปร่งแสงจนเรามองเห็นดวงตาของเธอ

แวบแรกที่มองอาจจะนึกว่าตัวแว่นมีคุณสมบัติในการเปลี่ยนสลับไปมาระหว่างจอโปร่งกับจอทึบ แต่อันที่จริงแล้ว Apple ติดจอเข้าไปอีกจอบริเวณด้านนอก เป็นจอที่จะช่วยให้ผู้สวมใส่สื่อสารกับผู้คนรอบตัวได้ ภาพดวงตาที่คนข้างนอกได้เห็นไม่ใช่ดวงตาจริงๆ ที่มองผ่านทะลุจอเข้าไปเจอ แต่เป็นการฉายภาพตาของผู้สวมใส่ออกมาบนจออีกทีโดยทำให้ใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด และเมื่อผู้สวมใส่เข้าสู่โหมดการดูคอนเทนต์เต็มรูปแบบและอาจจะไม่ได้พร้อมสื่อสารกับคนรอบข้าง จอเดียวกันนั้นก็จะถูกใช้แสดงกราฟิกแบบอื่น

ความสามารถของจอด้านนอกเป็นสิ่งที่ยังไม่มีใครได้เห็นการทำงานของมันจริงๆ แม้กระทั่งในระหว่างให้สื่อมวลชนทดลองใช้งาน เป็นอีกสิ่งที่น่าสนใจว่าจะเหมือนหรือต่างจากที่เราได้เห็นในภาพโฆษณาแค่ไหน

 

นอกจากการไม่ตัดขาดผู้สวมใส่ออกจากผู้คนรอบตัวแล้วก็ยังมีอีกหลายอย่างที่ Vision Pro ทำได้ดี อย่างเช่น การแสดงสัดส่วนและตำแหน่งสมจริงจนสวมแล้วไม่เกิดอาการเวียนหัวเมื่อถอดออก หรือการใช้งานสั่งการได้อย่างเป็นธรรมชาติด้วยการจีบนิ้ว

แต่ทั้งหมดนี้ก็ต้องไม่ลืมว่า Apple ควบคุมการทดลองใช้งานอย่างรัดกุมทุกขั้นตอน ดังนั้น คนที่ได้ลองใช้จึงจะได้สัมผัสเฉพาะสิ่งที่ Apple คัดมาแล้วว่า ‘ว้าว’ แน่ๆ เท่านั้น

การได้ทดลองใช้งานเองอย่างอิสระจะให้ประสบการณ์ที่แตกต่างไปแค่ไหนก็ต้องรอดูกันอีกที

แต่เท่าที่ได้เห็นทุกคนที่ได้ลองก็บอกตรงกันว่า Vision Pro ไม่ธรรมดา และน่าจะต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างได้แน่นอน

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกผลิตภัณฑ์ที่ Apple เปิดตัวออกมาจะมีเส้นทางที่สวยหรูไปเสียหมด บางอย่างก็แป้ก บางอย่าง Apple ก็คลำอยู่นานกว่าจะเจอเส้นทางที่ถูกต้อง

iPhone รุ่นแรกสุดเปิดตัวออกมาด้วยราคาแพงลิบลิ่วแถมยังรองรับได้แค่เครือข่าย 2G

ในขณะที่ Apple Watch เจนแรกก็อืดอาดเชื่องช้า และ Apple ไม่สามารถสื่อสารประโยชน์ใช้สอยที่คุ้มค่าได้ ลูกค้าไม่เข้าใจว่าเราจะต้องการนาฬิกาหน้าจอเล็กๆ มาแสดงคำแจ้งเตือนต่อจากโทรศัพท์มือถือไปทำไม ในเมื่อเราก็สามารถหยิบมือถือที่เราพกติดตัวอยู่แล้วออกมาดูเองได้เลย

ตัวฉันเองก็เคยคิดแบบนั้นอยู่สักพัก ทำให้กว่าจะได้ใช้ Apple Watch จริงจังก็ผ่านไปหลายเจน

หลายปีผ่านไป Apple เริ่มจับทาง Apple Watch ได้ว่าน่าจะเหมาะสำหรับการใช้เพื่อดูแลสุขภาพ แล้วจึงหันหัวเดินเครื่องไปทางนั้นเต็มสูบ การเปิดตัว Apple Watch รุ่นใหม่แต่ละครั้ง เราจึงได้เห็น Apple หยิบเอาเรื่องจริงของผู้ใช้งานที่รอดชีวิตหรือสุขภาพดีขึ้นได้จากการใช้งาน Apple Watch และมันก็ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการดูแลสุขภาพ หรือของขวัญที่เราจะส่งมอบให้คนที่เรารักเพื่อให้เขาได้ดูแลสุขภาพและมีความปลอดภัยเพิ่มขึ้น ซึ่งก็อาจจะเป็นคนละเรื่องเลยกับสิ่งที่ Apple ตั้งใจไว้ในวันแรก

ฉันย้อนนึกไปถึง iPad ที่เปิดตัวครั้งแรก ผู้บริโภคก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าจะเอาไปทำอะไร จะเป็นโทรศัพท์จอใหญ่ก็เทอะทะเกินไป หรือถ้าจะเป็นคอมพิวเตอร์จอเล็กก็ความสามารถไม่ถึงอีก

ทำไปทำมา iPad สร้างความเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่ให้ทุกวงการ หมอใช้ในห้องผ่าตัด นักบินใช้เป็นผู้ช่วยตอนขับเครื่องบิน ความเป็นไปได้ของมันแผ่ขยายไปได้กว้างไกลในแบบที่ฉันเชื่อว่า Apple เองก็คงตกใจเอามือทาบอกไปหลายครั้ง

 

เราอาจจะได้เห็นสิ่งเดียวกันนี้เกิดขึ้นกับ Vision Pro ด้วยก็ได้ ในวันนี้ราคาที่สูงลิ่วเหยียบแสนและประโยชน์ใช้สอยที่ยังคลุมเครืออยู่ทำให้คนส่วนมากบอกว่ามันน่าตื่นเต้นก็จริงแหละแต่ก็คงจะไม่มีวันควักกระเป๋าซื้อ Vision Pro ได้ง่ายๆ

ในช่วงเวลาตั้งแต่ตอนนี้ไปจนถึงวันที่ Vision Pro เริ่มวางขายจริง Apple น่าจะยังต้องปรับเปลี่ยนอะไรอีกหลายอย่าง อาจจะเพิ่มฟีเจอร์ หรือตัดออกเพื่อทำให้ราคาถูกลงเข้าถึงกลุ่มแมสได้มากขึ้น และอาจจะได้เห็นการใช้งานที่เกินคาดอีกมากมาย

ก่อนหน้านี้เราคุยกันว่าโลกเมตาเวิร์สตายไปแล้ว แต่ถ้า Apple เดินต่อได้ถูกทาง บางทีมันอาจจะฟื้นคืนกลับมารุ่งเรืองก็ได้