ฝ่ายประชาธิปไตยชนะยิ่งใหญ่ 14 พ.ค. | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

ในที่สุดคนไทยก็กำลังเปลี่ยนประเทศครั้งใหญ่โดยมีการเลือกตั้งปี 2566 เป็นเครื่องมือ เพราะขณะที่การเลือกตั้งทุกครั้งในรอบ 22 ปี คือการต่อสู้ระหว่างฝ่ายทักษิณ ชินวัตร กับฝ่ายตรงข้ามทักษิณ ซึ่งมีทั้งพรรคประชาธิปัตย์และพรรคพลังประชารัฐ การเลือกตั้งครั้งนี้กลับมีสถานการณ์ที่ต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

แน่นอนว่าคำว่า “ฝ่ายทักษิณ” และ “ฝ่ายตรงข้ามทักษิณ” ทำให้ความขัดแย้งดูเป็นเรื่องตัวบุคคลซึ่งมีคุณทักษิณเป็นศูนย์กลางความขัดแย้งมากเกินไป

คนบางกลุ่มจึงอธิบายว่าการเมืองหลังปี 2544 คือการต่อสู้ระหว่าง “ฝ่ายเผด็จการ” กับ “ฝ่ายประชาธิปไตย” ที่ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

ปัญหาของวาทกรรมนี้คือการชักจูงให้คนคิดว่าฝ่ายประชาธิปไตยต้องเป็นพวกทักษิณ, ใครไม่ใช่พวกทักษิณล้วนเป็นเผด็จการ และทุกคนที่อยู่ข้างทักษิณล้วนต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยหมด ซึ่งไม่ใช่ความจริงทุกกรณี ไม่เชื่อก็ลองถามยามที่ตึกพรรคว่าหลังรัฐประหารมีคนหายจากพรรคกี่คน

ประชาธิปัตย์หลังรัฐประหาร 2549 ไม่ใช่ฝ่ายประชาธิปไตย แต่ประชาธิปัตย์ก่อนปี 2549 คือพรรคที่ลงเลือกตั้งเหมือนพรรคอื่นตามปกติ ส่วนคนที่เป็นพวกทักษิณวันนี้อาจเคยเป็นพวกคุณทักษิณยุคไทยรักไทย แต่ด่าคุณทักษิณช่วงรัฐประหารปี 2549 และปี 2557 เช่น คุณเสนาะ เทียนทอง, คุณสมศักดิ์ เทพสุทิน, คุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ฯลฯ

การเลือกตั้งปี 2566 ต่างจากการเลือกตั้งทุกครั้งหลังปี 2544 เพราะเป็นครั้งแรกที่พรรคหลักซึ่งแข่งขันในโค้งสุดท้ายไม่ใช่ “ฝ่ายทักษิณ” และ “ฝ่ายที่ไม่ใช่ทักษิณ”

แต่กลายเป็นการแข่งกันระหว่าง “เพื่อไทย” กับ “ก้าวไกล” ขณะที่ในอดีตเป็นการแข่งขันระหว่างเพื่อไทยกับประชาธิปัตย์ และ พปชร.

 

ถ้ามองการเลือกตั้งในแง่ของการพัฒนาประชาธิปไตย จุดเด่นที่สุดของการเลือกตั้งปี 2566 คือการเลือกตั้งที่ฝ่ายประชาธิปไตยชนะฝ่ายเผด็จการเด็ดขาด เพราะพรรคหลักที่แข่งขันกันอย่างหนักในโค้งสุดท้ายคือเพื่อไทยและก้าวไกล ขณะที่แคนดิเดตนายกฯ ที่แข่งกันคือ “แพทองธาร ชินวัตร” และ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์”

ไม่ว่าจะในแง่พรรคหรือตัวบุคคล คุณประยุทธ์ จันทร์โอชา, คุณประวิตร วงษ์สุวรรณ, คุณอนุทิน ชาญวีรกูล, คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รวมทั้งพรรคของคนเหล่านี้ล้วนถูกมองข้ามจนไม่มีความหมายในการเลือกตั้งครั้งนี้ไปแล้ว โพลทั้งหมดชี้ว่า “ฝ่ายเผด็จการ” หรือ “ฝ่ายอนุรักษนิยม” จะแพ้เลือกตั้งอย่างย่อยยับจนไม่มีทางตั้งรัฐบาลได้เลย

หลักฐานว่าฝ่ายรัฐบาลแผ่วคือแกนนำไม่ลงพื้นที่หรือไม่จ่ายเงินผู้สมัคร ส.ส.ช่วงโค้งสุดท้ายที่อย่างที่เคยตกลง รวมไทยสร้างชาติทำแบบนี้จนผู้สมัคร 50 คนปลดป้ายพรรคเพราะถูกหลอกให้ออกค่าหาเสียงไปก่อนแล้วไม่จ่าย ขณะภูมิใจไทยก็ยกเลิกปราศรัยในพื้นที่ซึ่งชนะยาก ไปก็เหนื่อยฟรี

ไม่ว่าผลการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม จะจบโดยแต่ละพรรคได้ ส.ส.กี่คน ภาพรวมของการเลือกตั้งขั้นต่ำที่สุดคือ “เสรีนิยมแลนด์สไลด์” ซึ่งอาจถึงขั้น “เสรีนิยมซูเปอร์แลนด์สไลด์” และในขณะเดียวกันก็คือ “อนุรักษนิยมเทกระจาด” ซึ่งอาจไปถึงขั้น “อนุรักษนิยมตายเกลื่อน” ได้เช่นเดียวกัน

สำหรับประชาชนผู้รักประชาธิปไตยที่มอง “ประชาธิปัตย์” และ “พลังประชารัฐ” เป็นฝ่ายตรงข้ามมากว่า 20 ปี การเลือกตั้ง 2566 คือความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ของประชาธิปัตย์, พลังประชารัฐ, รวมไทยสร้างชาติ และอาจรวมถึงภูมิใจไทย ซึ่งเท่ากับเป็นชัยชนะของฝ่ายประชาธิปไตยอย่างเกือบสมบูรณ์

สำหรับคนรักประชาธิปไตยจริงๆ ไม่ใช่รักพรรคที่ชนะเลือกตั้ง หรือเพราะนายกฯ มาจากพรรคที่ชอบ สถานการณ์ที่พรรคคู่แข่งหลักในการเลือกตั้งคือ “เพื่อไทย” และ “ก้าวไกล” เป็นชัยชนะของฝ่ายประชาธิปไตยแน่ๆ

เพียงแต่เกิดภูมิทัศน์ใหม่ที่ “ฝ่ายประชาธิปไตย” ไม่ใช่เพื่อไทยพรรคเดียวต่อไป

 

สําหรับคนที่รักประชาธิปไตยเพราะรักคุณทักษิณและเพื่อไทย การเลือกตั้งปีนี้คือการเลือกตั้งที่เพื่อไทยชนะอย่างที่เคยเป็น แต่ก็เป็นการเลือกตั้งที่มีสถานการณ์ใหม่ซึ่ง “ฝ่ายประชาธิปไตย” ไม่ได้ผูกขาดที่พรรคเพื่อไทย และเพื่อไทยกินรวบฝ่ายประชาธิปไตยไม่ได้อย่างที่เคยทำมาหลายสิบปี

เมื่อคำนึงว่าก้าวไกลเริ่มปี 2566 โดยถูกประเมินว่าจะได้ ส.ส.ไม่เกิน 25 คน สถานการณ์ก่อนเลือกตั้งที่กระแสพรรคก้าวไกลพุ่งไม่หยุดจนเกิด “พิธาฟีเวอร์” ทำให้โพลที่เปิดเผยและไม่เปิดเผยประเมินว่าพรรคจะได้ ส.ส.ราว 80-100 ซึ่งทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เป็นประโยชน์กับฝ่ายประชาธิปไตยอย่างแน่นอน

ปฏิเสธไม่ได้ว่าความสำเร็จอย่างล้นหลามของพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งปี 2566 คือหลักฐานของความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในประเทศไทย เพราะเป็นอีกครั้งที่พรรคซึ่งถูกโจมตีว่าล้มเจ้า, ชังชาติ, ยกเลิกบำนาญ ฯลฯ กลายเป็นพรรคที่ร้อนแรงจนทำสำเร็จในสิ่งที่พรรคอื่นไม่เคยทำได้เลย

ทุกคนรู้ว่าภาคใต้คือที่มั่นฝ่ายรัฐบาล หรือพูดกลับกันคือภาคใต้เป็นพื้นที่ที่มีผู้สนับสนุนรัฐบาลมากที่สุด ซ้ำยังเป็นพื้นที่ซึ่งไม่เคยเลือกฝ่ายไทยรักไทยมากว่า 20 ปี จนไม่มีใครคิดเลยว่าสถานการณ์จะมาถึงจุดที่คนแห่ฟังก้าวไกลแน่นภูเก็ต, สงขลา, ปัตตานี, สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช

ผลเลือกตั้งทุกครั้งในรอบ 20 ปีชี้ชัดว่าคนไทยเลือกพรรคฝ่ายทักษิณ 14-16 ล้านคน และเลือกประชาธิปัตย์, พลังประชารัฐ และพรรคแบบเดียวกันราว 10-14 ล้านคนด้วย นั่นหมายความว่าใครอยากได้เสียงข้างมากให้เด็ดขาดก็ต้องแย่งเสียงจากผู้สนับสนุนอีกฝ่ายให้มาเป็นของตัวเอง

เพื่อไทยพยายามทำแบบนี้โดยเปิดปราศรัยที่นครศรีธรรมราช, ภูเก็ต และพังงา แต่ไม่เคยมีแคนดิเดตนายกฯ ไปปราศรัยภาคใต้หลัง 28 มีนาคม ส่วนก้าวไกลจัดปราศรัยใหญ่ในภาคใต้อย่างต่อเนื่องโดยมีคนแห่ฟังมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่ไม่มี ส.ส.เขตในพื้นที่ ซึ่งเท่ากับไม่มีกลไกขนคนมาฟังอย่างพรรคอื่นทำ

ปรากฏการณ์ “เวทีแตก” ของก้าวไกลในพื้นที่ซึ่งเลือกแต่ฝ่ายรัฐบาลคือหลักฐานว่าก้าวไกลทำสำเร็จในการทำให้คนเปลี่ยนขั้วทางการเมือง

ยิ่งกว่านั้นคือพรรคฝั่งรัฐบาลพยายามปลุกระดมชาวบ้านว่าก้าวไกลสุดโต่ง, ยกเลิกบำนาญ, ทำประเทศแตกแยก ฯลฯ แต่กลับไม่มีผลในการหยุดก้าวไกลเลย

 

เป็นเรื่องที่ทุกพรรคต้องหาคำตอบว่าอะไรทำให้ก้าวไกลเจาะพื้นที่ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของรัฐบาลและรัฐประหารตั้งแต่ปี 2549 เพราะคำตอบนี้จะทำให้เข้าใจกลไกการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองในพื้นที่ซึ่งฝ่าย “อนุรักษนิยม” แข็งแกร่งที่สุด และฝ่าย “ประชาธิปไตย” อ่อนแอจนแทบไม่มีรากฐานอะไรเลย

หนึ่งในเหตุผลที่คนหาดใหญ่, คนสุราษฎร์ฯ, คนนครฯ, คนปัตตานี ฯลฯ แห่เชียร์ก้าวไกลคือความไม่ต้องการ “พรรคการเมืองเก่าๆ”, “การเมืองเก่า” และ “นักการเมืองแบบเก่า” ต่อไป

นั่นหมายความว่าการปลุกระดมชังชาติหรือผูกขาดความเป็นประชาธิปไตยอาจทยอยเป็นยาหมดอายุในยุคปัจจุบัน

คู่แข่งของก้าวไกลทั้งที่ฝ่ายประชาธิปไตยและไม่เป็นล้วนทราบดีว่า “คนรุ่นใหม่” เลือกก้าวไกลถล่มทลาย แกนนำพรรคใหญ่บางคนพูดแบบไม่ออกสื่อว่า “คนรุ่นใหม่” ไม่มีเหตุผลและคุยไม่รู้เรื่อง ซึ่งทั้งหมดนี้ยิ่งสะท้อนว่าพรรคใหญ่ทุกฝ่ายไม่รู้จะแย่งชิงคะแนนคนเลือกก้าวไกลอย่างไรดี

ก้าวไกลชอบพูดคำว่า “หัวคะแนนธรรมชาติ” ซึ่งทำให้พรรคใหญ่ทุกพรรคหงุดหงิดใจ เพราะปกติพรรคใหญ่ต้องจ่ายเงินหรือให้ความช่วยเหลือทางใดทางหนึ่งเพื่อมัดใจคนให้เป็นหัวคะแนน แต่ก้าวไกลไม่ต้องจ่าย ผู้สนับสนุนพรรคทำเอง

และทำให้กระแสพิธาและก้าวไกลพุ่งทวีคูณอย่างรวดเร็ว

 

พูดกันตั้งแต่ปี 2562 ว่าพรรคอนาคตใหม่ “หักล้าง” หรือ “Disrupt” การเมืองไทย แต่การเกิด “พิธาฟีเวอร์” หรือ “ก้าวไกลฟีเวอร์” ยิ่งตอกย้ำว่าก้าวไกล “หักล้าง” หรือ “Disrupt” การเมืองไทยรุนแรงต่อไปจนเกิดสถานการณ์ที่พรรคใหญ่ทุกฝ่ายกระอักกระอ่วน ทนไม่ได้ และไม่รู้จะจัดการอย่างไรดี

นักการตลาดยุคนี้รู้ดีว่าการสื่อสารที่ประสบความสำเร็จต้องทำให้เกิด UGC หรือ “เนื้อหาที่ผู้บริโภคพูดเองปากต่อปาก” (User-Generated Content) ซึ่งทำให้ประชาชนเชื่อถือสูงสุด พลังของก้าวไกลมาจากการมีผู้สนับสนุนที่ทำเพื่อพรรคโดยไม่ใช่คนของพรรค ซึ่งเป็นสิ่งที่พรรคอื่นไม่มีขนาดนี้เลย

ไม่ว่าผลเลือกตั้งจะจบด้วยใครตั้งรัฐบาล สิ่งที่เกิดขึ้นคือฝ่ายอนุรักษนิยมอ่อนแอจนไม่ใช่พรรคหลักในการเลือกตั้งต่อไปอีกแล้ว

สถานการณ์ที่เพื่อไทยและก้าวไกลเป็นคู่แข่งหลักคือสถานการณ์ใหม่ที่สะท้อนความแข็งแกร่งของฝ่ายประชาธิปไตย ถึงแม้จะไม่ใช่ยุคที่เพื่อไทยผูกขาดพรรคเดียวก็ตาม