ทราย เจริญปุระ : ฉันยังมีชีวิตอยู่

"เอเรวอน ดินแดนไร้แห่งหน" (Erewhon) เขียนโดย ซามูเอล บัตเลอร์ แปลโดย ประสิทธิ์ ตั้งมหาสถิตกุล ฉบับพิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม, 2560 โดยสำนักพิมพ์สมมติ

วันนี้ฝนตก

ตกแล้วตกอีก หนาวยะเยือก แฉะชื้น ส่งละอองไอซึมซ่านเข้าไปในเนื้อตัว

บนท้องถนนผู้คนดูจะไม่ให้ความสำคัญกับอากาศนัก

ฝนก็คือฝน ตกมาก็มีวันหยุด หยุดไปก็ตกใหม่ได้อีก

พวกเขาห่อหุ้มร่างกายด้วยสารพัดเสื้อผ้า ตกแต่งใบหน้าด้วยความคิดหลากหลาย หัวเราะคิกคัก กอดและกระซิบ สูบบุหรี่และส่งต่อเครื่องดื่ม

งานฮัลโลวีนที่เมืองนี้คึกคักตั้งแต่ก่อนถึงวันจริง สารพัดผีและใครต่อใครที่ตายไปแล้วและยังมีชีวิตอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์เดินสวนกันไปมาบนท้องถนน รอสัญญาณไฟข้างๆ คุณ ต่อแถวคุณในร้านสะดวกซื้อ ยืนจับกลุ่ม เดินวนเวียน

บางที -ฉันคิด- บางทีฉันก็อาจจะเป็นผีเหมือนกัน

วันนี้เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ฉันผ่าตัดใส่โลหะพิเศษลงในร่างกาย และมันก็ยังอยู่จนถึงตอนนี้

ช่วงเวลาแบบนี้แหละ รอยต่อระหว่างหน้าฝนและหน้าหนาว

ฉันฟื้นคืนกลับมาใหม่ ในเมืองเดิมที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

 

สําหรับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ตั้งใจจะบุกป่าฝ่าดงเพื่อไปตั้งตัว หาครอบครองพื้นที่ร้างผู้คน เข้าเกลี่ยถาง ชุบชีวิตให้พื้นที่แห่งนั้น การจับพลัดจับผลูเข้าไปค้นพบเมืองไร้ชื่อที่ไม่เคยปรากฏบนแผนที่ เป็นเรื่องเกินความคาดหมายไปมาก

“เอเรวอน” พวกเขาเรียกเมืองว่าอย่างนั้น หน้าตาผู้คนล้วนสวยงามจับใจ ไร้เทคโนโลยีเครื่องกลหุ่นยนต์หรือปัญญาประดิษฐ์ใดๆ กระทั่งนาฬิกาพกก็ยังเป็นของแสลง สังคมยิ้มแย้มแจ่มใส และไม่มีพื้นที่ให้ความป่วยไข้ไม่งามตาใดๆ ทั้งสิ้น

“ในดินแดนเอเรวอนแห่งนี้ ความเจ็บไข้ได้ป่วยทุกชนิดล้วนถือว่าเป็นอาชญากรรมและละเมิดศีลธรรมขั้นร้ายแรง กระทั่งแค่เป็นหวัด ก็ถือว่ามีความผิด และผมจะต้องถูกส่งตัวไปให้พนักงานปกครองดำเนินคดี และต้องโทษจำคุกเป็นระยะเวลาพอควร นี่เป็นคำเปิดเผยที่ทำเอาผมถึงกับอึ้งตะลึงงัน”*

มันเริ่มจากเสียงที่ไม่เห็นตัว เสียงประกาศซ้ำๆ เพลงเดิมๆ เสียงร้องตามเปะปะถูกคีย์บ้าง ไม่ถูกบ้าง ฉันค่อยๆ เดินมาอาบแดดที่หน้าต่าง อยากยืดตัวมองหาที่มาของเสียง แต่ก็ไม่เห็น

มีคนมาเยี่ยมฉันบ้างเหมือนกัน

แต่บางคนก็ไม่มา

คนที่ฉันรู้จัก ไปมาหาสู่ พูดคุยสนิทสนม

ฉันไม่ได้คิดอะไรมาก แค่เข้าใจว่าการมาเยี่ยมคนป่วยนั้นก็ไม่ใช่เรื่องน่าสนุก เกิดเข้ามาแล้วเจอฉันนอนพะงาบอยู่ชวนให้อึดอัดกระอักกระอ่วนกันทั้งคู่

ไว้หายก็คงได้เจอกัน, ฉันคิด

แล้วก็ตามมาด้วยการเมินมองไม่สบตาเวลาฉันก้าวเข้าลิฟต์โรงพยาบาล เสียงเพลงกระหึ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกวันจนถึงวันที่ฉันพาน็อตในคอกลับบ้าน

เมื่อฉันกลับมาอีกครั้งตามนัดหมาย ก็เหมือนก้าวเท้าเข้าไปในดินแดนอื่น

ตอนนั้นพวกเขาเริ่มเหมือนกันแล้ว เป็นประชากรที่มีสังกัด มีหน้าที่ มาจากหลายที่ มีเครื่องแบบ มีจุดมุ่งหมาย

ฉันคิดว่าจุดหมายอย่างหนึ่งก็คือฉัน อาจจะสำคัญตัวผิดเกินไป ถ้าอย่างนั้นฉันจะเรียกรวมๆ ไปว่าคือเหล่าผู้ป่วยไข้ในสายตาของเขา

โรคร้ายที่หายได้ด้วยการกำจัด ล่า ด่าประจาน

 

“หากผู้ใดปลอมแปลงเช็ค วางเพลิงเผาบ้านตัวเอง หรือจี้ปล้นทรัพย์สินจากผู้อื่นหรือการกระทำใดๆ ที่ถือเป็นอาชญากรรมในประเทศเรา เขาผู้นั้นจะถูกนำตัวไปโรงพยาบาลเพื่อรับการดูแลอย่างดี โดยสาธารณชนเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย หรือหากผู้นั้นเป็นบุคคลฐานะดี เขาก็จะป่าวประกาศให้เพื่อนฝูงทุกคนทราบว่า เขากำลังทนทุกข์ทรมานกับอาการผิดศีลธรรมอย่างรุนแรง อย่างเดียวกับเวลาที่เราเจ็บไข้ได้ป่วย แล้วญาติมิตรของเขาก็จะมาเยี่ยมหาด้วยความเป็นห่วงเป็นใย พร้อมกับไต่ถามด้วยความสนอกสนใจถึงความเป็นมาเป็นไปว่าเริ่มมีอาการสำแดงตั้งแต่เมื่อไหร่ เนื่องจากการกระทำอันเลวทรามที่แม้จะเป็นสิ่งที่น่าชิงชังรังเกียจ และแสดงถึงความผิดของตัวผู้กระทำอย่างไม่ต้องสงสัยสำหรับเรา แต่พวกเขากลับถือว่ามันเป็นผลพวงจากความโชคร้ายจากก่อนหรือหลังคลอด”*

ฉันคงทำให้ใครหลายคนไม่สบายใจ ด้วยเรื่องจริงบ้างลวงบ้าง ถูกตัดต่อ ปะติด ดึงออก และแทนความเห็นตามใจชอบของผู้เล่าและผู้เชื่อ

เพื่อนฝูงกลายเป็นคนรู้จัก และจากคนรู้จักก็กลายเป็นผู้คิดต่าง เป็นศัตรู

เป็นผู้ที่จะไม่สบตากันแม้เดินผ่านในระยะประชิด แต่ร้อนรนที่จะหาข่าวมารับรู้อยู่เสมอ ว่าชีวิตของคนเหล่านั้น กลุ่มก้อนที่สร้างความไม่สบายใจนั้นตกต่ำไปถึงเพียงไร ก่อเวรสร้างกรรมอย่างไรไว้

และแทบจะพุ่งตัวไปจัดการเองหากกรรมในความเชื่อของพวกเขาทำหน้าที่ได้ไม่เร็วพอ

 

5ปีผ่านผัน

ฉันยังมีชีวิตอยู่

เป็นผีที่ยังคอยหลอกหลอนบางคน

มีเยอะไป, ผู้คนที่ยังเจ็บจี๊ดในหัวใจทุกครั้งเพียงเห็นหน้าฉัน และแทบจะตบมือออกมาดังๆ เมื่อฉันเป็นไข้ไม่สบาย

แต่ฉันก็มีอยู่จริงในชีวิตใครอีกหลายคน

และจริงยิ่งกว่าจริงสำหรับตัวฉันเอง

น็อตในคอไม่ใช่สิ่งแปลกปลอมอีกต่อไป

สำหรับคนที่เคยตายไปแล้ว เราเลือกอะไรได้ไม่มากนักหรอก

ฉันมีน็อต ฉันอยู่ได้เพราะมัน ฉันป่วย ฉันรักษา ฉันยอมรับมัน และไปต่อ

บางคนเลือกความสบายใจมากกว่าความจริง

เรื่องดีๆ ปลอบประโลมใจ จะมดเท็จแค่ไหนก็ได้

ไม่ใช่ความจริงที่ดึงเขาลงมาสู่พื้นดิน

—————————————————————————————-

*ข้อความจากในหนังสือ