เผยแพร่ |
---|
หากมองกรณีมีคำสั่งหัวหน้าคสช.ตามมาตรา 44 ย้ายอธิบดีกรม การจัดหางานออกจากตำแหน่ง
เหมือนกับเป็นเรื่องเล็ก-เล็ก
ไม่ว่าจะมองผ่านตำแหน่ง “อธิบดี” ไม่ว่าจะมองผ่านสถานะและบทบาทของ “กระทรวง”
กรณีนี้ไม่น่าจะเป็น “เรื่องใหญ่”
แต่พลันที่ “ใบลา” ของ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ไปถึงทำเนียบรัฐบาล พร้อม-พร้อมกับใบลาของ พล.อ.เจริญ นพสุวรรณ
“เรื่องเล็ก” ก็อึกทึก ครึกโครม
ยิ่งหากมองจากด้านของ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล มองจากด้านของ พล.อ.เจริญ นพสุวรรณ ยิ่งไม่ธรรมดา
นี่คือ ปัญหาในเชิง “บริหารจัดการ”
ประเด็นของอธิบดีกรมการจัดหางาน กับ ประเด็นของรัฐมนตรีว่า การกระทรวงแรงงาน
สะท้อน “เอกภาพ” และ “ความสัมพันธ์”
1 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นคนเลือกและแต่งตั้งอธิบดีกรมการจัดหางานด้วยมือของตนเอง
แสดงว่า เชื่อมั่น และไว้วางใจ
ขณะเดียวกัน 1 พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงแรงงานจากความไว้วางใจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอ ชา ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.
คำสั่งย้ายอธิบดีกรมการจัดหางานมาจากหัวหน้าคสช.โดยอาศัยมาตรา 44
เป็นไปโดย “รัฐมนตรี” ไม่เคย “ระแคะระคาย”
มองจากสายสัมพันธ์ระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกับนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.
ย่อมมากด้วยความละเอียดอ่อน
เป็นความละเอียดอ่อนเพราะว่า พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ก็มิได้เป็นอื่นไกล
หากแต่มีพื้นฐานมาจาก “ทหาร”
ทหารนั้นมักยึดกุมหลักการที่ว่า “ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน” ไม่ว่าจะเป็นยุค พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ไม่ว่าจะเป็นยุค พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
ยึดกุมความเป็น “เลือดสุพรรณ” มั่นคง