การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ – ทั้งๆ ที่

พี่ฝนหลับสนิทไปแล้ว ทั้งๆ ที่ควรจะเป็นตัวฉัน เนิ่นนาน กว่าจะค่อยขยับตัวออกจากอ้อมกอดนั้นได้ ลุกห่างจากสะลี ร่างผู้หญิงผมสั้นยังนอนตะแคงกรนเบาๆ อยู่

ในเงาสลัวของแสงจันทร์ ใบหน้านั้นดูนิ่งสงบในการหลับใหล ฉันต่างหากที่ยังคัดจมูก น้ำมูกป้ายเปื้อนแก้ม

…ป่านนี้พี่โฟจะหลับใหลไปหรือยัง หรือว่าจะยังตื่นอยู่กับความเจ็บร้าวเหล่านั้น

วงเลือดในซอกขายังติดอยู่ในตา เช่นเดียวกับใบหน้าเหนื่อยล้าอิดโรย

คงไม่เป็นไรหรอกกระมัง…หากจะกลับเข้าไปช้าสักนิด ให้พี่ฝนได้หลับไปสักงีบก่อน ใจคิดอย่างนั้น เมื่อตัดสินใจเปิดประตูให้เบาที่สุด ก้าวออกไป

 

เป็นอ้ายหมารอย ที่ยืนตะคุ่มอยู่ใต้ร่มต้นมะม่วงด้านหน้าหอพัก ใบหน้าเครียดเขม็งจนฉันใจไหววูบขึ้น

“อ้าว” ปากทักออกไป แล้วนิ่งอยู่

“อีพี่” เสียงต่ำหนัก

“อะไร?” อาจเป็นสัญชาตญาณทำให้ฉันหวนคิดทันทีว่า…อ้ายหมารอยมาตั้งแต่เมื่อไหร่

“มึงเป็นอะไรกับมัน?”

ไม่ผิดอย่างสังหรณ์ใจไว้ หากรอยอยู่ในห้องข้างๆ คงเป็นได้ จะได้ยินทั้งหมดนั้น

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับมึง”

ถึงใจจะรู้สึกอย่างไร ปากก็พูดออกไปอย่างรวดเร็ว

“มึงทำหยั่งนั้นได้ยังไง!”

หมารอยพรวดเข้ามาข้างหน้า มือแข็งบีบหมับที่สองไหล่ของฉัน

“ทำไม กูทำอะไร?”

“มึงจะเอาปู๊เมียเป็นผัวรึ!”

เหมือนฟืนท่อนหนึ่งหวดเข้าเต็มแสกหน้า…แม้ไม่เหนือความคาดหมาย หากอะไรสักอย่างในน้ำเสียงนั้นก็ทำให้ฉันรู้สึกเจ็บ

“แล้วทำไม? มึงจะยุ่งอะไรกับกู!” พ่นคำสวนไปทันที

“อีพี่” รอยครางเสียงต่ำในลำคอ และฉันก็พยายามจะหาทางเบี่ยงตัวออก ฉันควรต้องออกไปแล้ว

“เดี๋ยว” รอยออกคำสั่ง

“มึงจะทำอะไร”

สายตาของรอยมองมาที่ฉัน โค้งหยักริมฝีปากรับกับจมูกโด่งเป็นสัน ใบหน้าหล่อเหลาราวจะโศกเศร้าและโกรธเกรี้ยวไปพร้อมๆ กัน

“รอย” ใจฉันหายวาบ

“ดีที่มึงยังไม่ผิดผี”

สิ้นเสียงนั้น รอยก็ผละมือจากไหล่ฉัน ร่างของมันดูสูงใหญ่ขึ้นในชั่วกะพริบตา

“แต่มึงไม่ควรทำอย่างนี้ อีพี่”

ฉันรู้สึกตัวในทันทีนั้น แต่ก็อีกครั้งที่มันสายเกินไป

 

“รอย! เปิดประตู!”

ฉันพุ่งตัวตามไปทันที พร้อมกับทุบประตูให้ดังที่สุด

แต่ปราศจากการขยับเขยื้อน ประตูที่ลงกลอนเสียแล้วนิ่งขึงอยู่ต่อหน้าฉัน แสงจันทร์ยังคงสาดแสงอันเยียบเย็นของมันลงมา ขณะหูฉันได้ยินเสียงจากข้างใน

“อ้าย…มึง!”

“มึงเก่งนักเหรอ!…เก่งนักเหรอ!”

เสียงเนื้อกระทบเนื้อ และยินเสียงหวีดร้องตะโกนออกมา ทว่า เสียงของรอยยังดังกว่าใดๆ

“อยากลองดีกับกูนักใช่มั้ย! อีปู๊!”

“รอย! มึงเปิดประตูเดี๋ยวนี้!” ฉันตะโกนเข้าใส่บ้างเหมือนกัน

แต่เสียงของฉันไร้สิ้นความหมาย ยินเสียงข้าวของตกอยู่โครมคราม เสียงของการต่อสู้อันรุนแรง

ทันใด ประตูห้องข้างๆ อีกสองห้องก็เปิดออก มีคนถลันพรวดออกมา

“ใคร! มีอะไรกัน”

ฉันเหลียวหาทันที เห็นรางๆ ว่าเป็นผู้ชายเปลือยอกคนหนึ่ง กับอีกห้องหนึ่งเป็นผู้หญิงหน้าขาวๆ

“…มีคนตีกันในห้อง”

“ใครกับใคร?”

“พี่ฝนกับ…กับ…” ฉันปากไม่ออกในห้วงหนึ่ง “กับพี่ชายฉัน!”

ผู้หญิงหน้าขาวรีบผลุบหายเข้าไปในห้องตัวเองทันที ฉันเห็นสายตาหวาดกลัวนั้นได้ ก็ไม่แปลกที่จะรีบปกป้องตัวเองเอาไว้ แต่ผู้ชายที่ไม่สวมเสื้อรีบเดินลิ่วออกมา

“อยู่ในห้องเหรอ”

“ใช่” ฉันพยักหน้า ปากคอสั่น

“เฮ้ย! ทำอะไรกัน!” ชายคนนั้นเข้าไปยืนตะโกนเบื้องหน้าประตู

 

ได้ผล เสียงทุบตีเงียบลงไปชั่วจังหวะ ก่อนจะมีเสียงหวีดร้องขึ้นใหม่ ทันทีนั้นชายแปลกหน้าก็คว้าอะไรสักอย่างฟาดรัวๆ เข้าที่ประตู

“หยุด! พวกมึงหยุดเดี๋ยวนี้!”

ประตูเปิดผางออกมาทันที รอยยืนตระหง่านอยู่ข้างหน้า สายตาลุกโชนเหมือนคนเสียสติ ยิ่งกว่าคำว่าใจตกหล่นร่วง ที่เห็นต่อหน้า เหมือนไม่ใช่มนุษย์คนเป็นๆ

“มึงเสือกกับกูรึ!”

ผู้ชายแปลกหน้ากลับเร็วกว่ารอยอย่างคาดไม่ถึง พริบตาก็คว้าแขนรอยไว้ทั้งสองข้าง จับไขว้หลังจนอกแอ่น

“เออ! กูเป็นตำรวจ มึงจะมีปัญหาอีกมั้ย!”

สีหน้าของรอยเปลี่ยนสี และเริ่มการดิ้นรนอย่างรุนแรง

ฉันไม่รอช้าอีก ปล่อยรอยไว้กับชายคนนั้นแล้วรีบกระโจนเข้าไปในห้อง…พี่ฝน…นอนกองเหมือนผ้าขี้ริ้วผืนหนึ่ง เลือดไหลพรั่งออกจากจมูกและปาก ตาค้างด้วยความเจ็บปวด

และมันเจ็บปวด…เสียจนเสียงในลำคอไม่อาจจะแผดออกไป ยิ่งเห็นร่างที่สั่นระริกอยู่ ยิ่งรู้สึกเหมือนแทบจะขาดใจ

“พี่ฝน…พี่ฝน”

ไม่ต่างกันเลย กับที่พี่จูเคยโดนอ้ายชัยทำร้าย แต่ที่ต่างไปคือกระดุมเสื้อพี่ฝนขาดวิ่น

จนเห็นเต้านมทะลักออกมา

 

เราจะเจ็บปวดกันอย่างนี้ไปถึงเมื่อไหร่ กับพวกห่าเหวที่ชอบใช้อำนาจและพละกำลังเหนือกว่า มันยิ่งเสียกว่าสัตว์หน้าขนที่ไร้รู้ชั่วดี กลิ่นเลือดที่คุ้นเคยเสียดแทงเข้าในจมูก ฉันประคองพี่ฝนไว้กับอ้อมตัก พยายามจะเรียกซ้ำๆ ว่า

“พี่ฝน…พี่อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ พี่อย่าหลับ พี่ตื่นมาก่อน พี่! ตื่น!”

แต่ร่างในวงแขนยังคงอ่อนปวกเปียกเต็มประดา เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ได้ จนเสียงของชายแปลกหน้าคนเดิมดังขึ้นข้างหลัง

“รีบพาคนเจ็บไปหาหมอก่อนเถอะ”

ฉันเหลียวหลังไปด้วยน้ำตาพร่าเต็มตา และเห็น…ร่างของอ้ายหมารอยคุดคู้อยู่บนพื้นด้านนอก

รอยถูกใส่กุญแจมือแล้ว คุกเข่าจนหัวไถพื้นปูนซีเมนต์ แสงจันทร์ที่เยียบเย็นยิ่งกว่าครั้งใดๆ ส่องให้เห็นเลือดอีกสายหยาดไหลลงจากใบหน้า

ชายแปลกหน้าคงเป็นตำรวจจริงๆ เพราะไม่นานช้าก็สวมเสื้อผ้าครบครัน เดินผ่านฉันไป กระทืบเท้าใส่หลังของรอยอีก

เสียงดังโอ้ก! ออกมา รอยสำลัก หน้าไถลไปอย่างทุลักทุเล

ฉันฝันไปใช่ไหม ฉันอยากจะคิดว่านี่เป็นเพียงความฝัน และฉันอยากจะให้มันเป็นเพียงความฝันสุดท้าย…ฉันจะตื่นขึ้นได้ไหม ขอพี่ฝนกับตัวฉันตื่นขึ้นเถอะ

ขอเถอะ

 

[ฉันจะเขียนจดหมายถึงใครดีนะ

ในวันที่ท้องฟ้าแห้งผากจนไม่รู้จะมองดูอะไร

ก้อนเมฆที่เปื่อยไหล

ฉันไม่รู้คืน ไม่รู้เวลา

วันนี้วันอะไรกัน

วันอาทิตย์

วันจันทร์

วันอะไรกันแน่ ที่ฉันมองเห็นแต่สายเลือดในดวงตา

สาบกลิ่นคลุ้งคาว

ราวจะบอกกับทุกสิ่งว่า

ความเจ็บปวดของฉัน มันแค่ของธรรมดา

การกระทำที่หยาบช้า

ใครๆ ก็จะบอกว่า แค่ความฝัน]

บทกวีที่เคยเขียนไว้ในหัวกระซิบกระซาบเล็ดลอดขึ้นมา นี่มันชีวิตห่าเหวอันใด สิ่งที่ต้องการแม้จะเล็กน้อยเพียงใด ก็ไม่เคยง่าย ไม่เคยได้มา

[เสียงอึงอลมาจากไหน

เหมือนเกลียวน้ำอื้ออึง หลากเชี่ยวมาจากแห่งหนใด

แต่บัดเดี๋ยวก็เหมือนยอดไม้

ไหวลู่ระเนนเอนในสายลมแผ่วเกลื้อ

ฉันได้กลิ่นความเกลียด

ฉันได้กลิ่นความชัง

ฉันได้รับรู้รสชาติที่ประดังท่วมลิ้น

 

ฉันเคยถูกดื่มกิน

เช่นเดียวกับที่โดนโบยตี

ขาของฉันแยกออกมา

มันอาจจะต้องถ่างค้างเช่นนั้นชั่วนาตาปี

พวกเขาทุบหัวของฉัน

พวกเขาทำลายกระดูกชิ้นเล็กๆ ของฉัน

พวกเขาทำมันเหมือนๆ กัน…]

จริงสิ พวกเขาทำมันเหมือนๆ กัน ทุกๆ คน แม้กระทั่งตัวฉัน ต่างล้วนทำร้าย ทำลาย ทำความพินาศให้แก่กันและกัน ทั้งๆ ที่เลือดนั้นมีสีแดงเหมือนกัน…เหมือนกันเสมอ