หัวล้านชนกัน (3) / จ๋าจ๊ะ วรรณคดี : ญาดา อารัมภีร

ญาดา อารัมภีร
credit : happilybald.com

จ๋าจ๊ะ วรรณคดี

ญาดา อารัมภีร

 

หัวล้านชนกัน (3)

 

เมื่อเชียงเมี่ยงรับปากว่าจะใช้สติปัญญาเอาชนะเมืองธานีที่มาท้าพนันเอาบ้านเมือง พระเจ้าทวาละก็โล่งพระทัย ทรงอำนวยความสะดวกทุกอย่างตามที่เชียงเมี่ยงปรารถนา

“จึ่งดำรัสว่าต้องการสิ่งอันใด ชาวคลังจงจ่ายให้อย่าได้ขัด

เลือกเอาตามใจให้ทันนัด พระดำรัสแล้วเสด็จเข้าข้างใน”

เชียงเมี่ยงใช้หมายเรียกระดมพลคนหัวล้านให้มาพร้อมกันทันที ภายในพระราชฐานคับคั่งด้วยหัวล้านละลานตาสารพัดแบบ

“ทั้งนายไพร่เศียรโล่งโหม่งเป็นมัน ก็พากันมาหาเชียงเมี่ยงพร้อม

ฝ่ายเชียงเมี่ยงเห็นคนจนเกศา ดูนานาหลากถ้วนทั้งอ้วนผอม

บ้างฉอกหลงดงช้างข้ามเป็นเขาค้อม สามหย่อมเปียแหยมแกมปนคละ”

เชียงเมี่ยงรู้ลักษณะดีร้ายของคนหัวล้านเป็นอย่างดี

“บ้างหัวล้านแต่รอบนอกมีผมกลาง ตำราอ้างล้านน้ำเต้าเค้าดูขัน

ชนิดนี้แรงน้อยถอยทุกวัน บ้างฉอกฉินเลื่อมมันจับแก้วตา

เรียกว่าล้านเดือยไก่ใจคะนอง พูดเล่นคล่องไม่ขัดจัดนักหนา

ถ้าอายุแก่เข้าเฒ่าชรา มักเกิดโรคนานามายายี

บางคนล้านโขมนผมโกร๋นเกรียน โล่งเลี่ยนแลเลื่อมเป็นมันสี

มักใจน้อยเจ้าโทโสโอ้อวดดี ถ้อยคำมีสำนวนชวนก่อความ”

เชียงเมี่ยงแจ้งจุดประสงค์ของการมารวมกันครั้งนี้ว่า

“พระภูบาลให้เลือกคนชนศีรษะ

ใครจะอาสาได้ให้ชนะ พระองค์จะพระราชทานเงินทองยศ”

 

แม้เงินทองและยศถาบรรดาศักดิ์จะยั่วใจสักแค่ไหน ก็ไม่มีใครยอมอาสาเป็นตัวแทนบ้านเมือง ชื่อเสียงลือเลื่องของหัวล้านเมืองธานีที่ชนชนะมาทุกที่ ทำให้บรรดาหัวล้านเมืองทวาลีบ่ายเบี่ยงสุดฤทธิ์

“ทั้งนายไพร่ออกตัวกลัวไปหมด

บ้างว่าแรงฉันน้อยกำลังลด บ้างว่างดฉันเสียเถิดแต่เกิดมา

ไม่เคยเห็นไม่เคยเล่นพนันชน บ้างก็บนเงินทองสิ่งของผ้า

ลางคนบนคู่สนิทให้ธิดา ว่าท่านได้กรุณาอย่าให้ชน”

เมื่อไม่มีใครสมัครใจ เชียงเมี่ยงก็ตัดสินใจเลือกเอง

“เลือกได้คนหนึ่งอ้วนพีรูปดีงาม ล่ำสันไม่เข็ดขามควรเปรียบชน

ศีรษะพึ่งล้านใหม่ดูใสเศียร ผมเกรียนเส้นละเอียดพึ่งร่วงหล่น

หน้าดุร้ายกายดำขำกว่าคน เห็นควรชนเชียงเมี่ยงว่าได้การ”

คนหัวล้านที่เชียงเมี่ยงเลือกนี้ นอกจากรูปร่างท่าทางดีน่าเกรงขาม ตัวยังอ้วนดำหน้าเหี้ยม เชียงเมี่ยงเสริมพละกำลังชวนสยองโดยใช้พวน (หรือเชือกเกลียวขนาดใหญ่ใช้โยงเรือ) ทำด้วยหนังรวม 4 เส้นผูกเอวเขาไว้ ให้คนหัวล้านคอยฉุดรั้งทั้งสี่เส้น เส้นละร้อยคน พวนหนังที่ว่าหาใช่เชือกหนังแท้ เป็นแต่ทำเทียมเชือกหนังด้วยการที่

“เบิกกระดาษมาฟั่นทำพวนหนัง สำหรับรั้งสี่เส้นทาหมึกประสาน

ติดขนควายรายทุกเส้นเห็นได้การ แม้นใครใครดูก็ปานเหมือนหนังพวน

แล้วจัดคนถือเชือกเส้นละร้อย ล้วนแต่เกศาน้อยสี่ร้อยถ้วน

บอกกลอุบายให้รู้ขบวน ครั้นวันจวนก็แต่งตัวพวกหัวล้าน

มีเครื่องแห่แตรสังข์พิณพาทย์ฆ้อง ธงทองธงมังกรธงไชยฉาน

ให้เตรียมเสด็จคอยฤกษ์เวลากาล หน้าพระลานขบวนแห่แลแน่นยัด”

 

เชียงเมี่ยงจัดเตรียมขบวนใหญ่แห่แหนหัวล้านชื่อ ‘ราชสมบัติ’ ไปอาบน้ำอย่างอึกทึกครึกโครม ก่อนออกขบวนก็ป่าวร้องก้องเมืองว่า หัวล้านผู้นี้มีเรี่ยวแรงมหาศาลเวลาผ่านบ้านใคร หลุดพลัดเข้าไป บ้านพังทลายสิ้น เร่งป้องกันเรือนตนให้ดี ดังที่เสภาเรื่อง “ศรีทนนไชยเชียงเมี่ยง” เล่าว่า

“แล้วให้เที่ยวตีฆ้องร้องประกาศ จะอาบน้ำตัวราชสมบัติ

ใครกลัวภัยให้รักษาตัวระมัด ระวังบ้านเรือนถ้าพลัดเข้าบ้านใด

เหย้าเรือนจะทลายสลายหัก จะฉุดชักไล่ห้ามปรามไม่ไหว

ด้วยมีแรงแข็งกล้าเป็นพ้นไป เข้าบ้านใดยับย่อยไม่น้อยเลย

หน้าต่างประตูดูปิดให้แน่นหนา เมื่อเวลาลงน้ำอย่าเปิดเผย

รู้ทั่วกันอย่าเผลอเลินเล่อเลย ใครไม่เคยเห็นรู้มาดูตัว”

ผลแห่งการป่าวประกาศสรรพคุณ ทำเอาชาวเมืองทวาลีกลัวหัวหด

“ที่กลัวตายนอนซุ่มผ้าคลุมหัว

บ้างหลบลี้หนีนอนซุกซ่อนตัว ที่เรือกรั้วไม่แน่นหนาผ่าไม้แซม”

คลื่นความหวาดหวั่นแผ่ไปถึงฝ่ายเมืองธานีที่โดยสารเรือสำเภามาท้าพนันกับเมืองทวาลี พากันเก็บตัวอยู่บนเรือคอยรอดูคู่ต่อสู้

“ชาวสำเภาโดยยินคำประกาศ นึกขยาดคิดว่าจริงไม่รู้แต้ม

ก็เก็บงำสินค้าที่ราแรม ขยายแย้มไว้แต่ช่องคอยมองดู”

เมื่อแดดอ่อนแสงลง เชียงเมี่ยงก็เขย่าขวัญพวกเมืองธานีด้วยการเคลื่อนขบวนแห่ราชสมบัติที่ถูกมัดรอบเอวด้วยเชือกหนังขนาดใหญ่รวม 4 เส้น แล้วเกณฑ์คนหัวล้านสี่ร้อยคนมาจับเชือกพร้อมๆ กัน

“จ่ายให้คนถือเชือกเส้นละร้อย ก็เคลื่อนคล้อยขบวนแห่เซ็งแซ่หนัก

ทั้งซ้ายขวาหน้าหลังเชือกรั้งชัก แห่มาพักท่าสำเภาเอาลงน้ำ”

ทันทีที่อยู่ต่อหน้าเรือสำเภาเมืองธานี หัวล้านเมืองทวาลีก็สำแดงเดช

“ราชสมบัติแข็งขึงดึงเชือกไว้ คนสี่ร้อยฉุดไม่ไหวก็ล้มคว่ำ

เชือกพวนขาดเป็นท่อนท่อนล้มซ้อนคะมำ แล้วก็ทำอาละวาดอำนาจร้าย

ใครจะเข้าจับตัวราชสมบัติ ให้ข้องขัดด้วยกำลังนั้นมากหลาย”

ชาวทวาลีพร้อมใจกันมาดูหัวล้านฝ่ายตนจนหมดเมือง

“ชาวเมืองชวนกันวิ่งทั้งหญิงชาย มาดูนายราชสมบัติออกอัดแอ

บ้างก็ขึ้นต้นไม้คอยมองดู บ้างวิ่งกรูแซงสวนกระบวนแห่

ไม่เคยเห็นเล่นพนันชวนกันแล เสียงเซ็งแซ่คนดูพรั่งพรูมา”

 

‘ราชสมบัติ’ ทำเอาราชทูตเมืองธานีหน้าซีดเป็นไก่ต้มเมื่อตระหนักว่าหัวล้านทวาลี ‘แรงมากหนักหนา’ ทำให้ ‘พวนหนังรั้งขาดประหลาดตา’ ร้อนใจรีบหารือหัวล้านเมืองธานี

“ว่าแรงเขามิใช่น้อยพวนย่อยยับ ยังจะรับเป็นคู่พนันขัน

ฤๅจะสู้เขาไม่ได้ให้บอกกัน อย่าอึ้งอั้นแจ้งความแต่ตามจริง”

หัวล้านเมืองธานี ‘คิดขยาดกลัวกำลังให้เกรงกริ่ง’ ถึงกับถอดใจ ยอมรับว่า

“เขาแรงจริงสุดปัญญาจะท้าพนัน

สู้ไม่ได้เป็นแน่ตามแต่จะคิด ไม่เบือนบิดดอกกลัวจนตัวสั่น

ให้นึกเกรงจะแพ้แก้ไม่ทัน จะดื้อดันเข้าชนไม่พ้นตาย”

ในเมื่อสู้ไปมีแต่แพ้และตายแน่ๆ ราชทูตจึงหาทางออกด้วยการอ้างว่า หัวล้านเมืองธานีไม่พร้อมชนพนัน เนื่องจากเป็นไข้

“ป่วยมาได้สามวันกำลังอ่อน

ขอถวายสินพนันพระภูธร จะลากลับยังนครนามธานี”

ขบวนการแหกตาของเชียงเมี่ยงทำเอาฝ่ายท้าพนันตาหูแหก แจ้นกลับเมืองแทบไม่ทัน •