เปิดหู | นึกถึงคาเฟ่ คุณนึกถึงเพลงแบบไหน?

อัษฎา อาทรไผท

เมื่อคุณนึกถึงคาเฟ่ คุณจะนึกถึงกลิ่นอันหอมหวลของกาแฟ หรืออาจจะไม่ได้นึกแบบนั้นก็ได้ เพราะ “คาเฟ่” ในนิยามของแต่ละคนในแต่ละยุคอาจจะไม่เหมือนกัน และก่อนที่ผมจะเฉลยว่าหากเป็นผม ถ้านึกถึงคาเฟ่ ผมจะนึกถึงเพลงแบบไหน ผมขอเล่าถึงที่มาของ “คาเฟ่” กันสักหน่อย

เชื่อหรือไม่ “คาเฟ่” หรือร้านกาแฟนั้นมีมานมนานตั้งแต่ราวศตวรรษที่ 15 หรือกว่า 500 ปีมาแล้ว โดยเริ่มที่ตะวันออกกลาง ณ อาณาจักรออตโตมานอันยิ่งใหญ่ แล้วแพร่กระจายไปทั่วทั้งดินแดนอาหรับโบราณ​

ว่ากันว่าในยุคนั้นร้านกาแฟได้รับความนิยมอย่างมาก ผู้คนมาใช้เป็นที่พบปะสังสรรค์ มีการบรรเลงเพลงขับกล่อม ผู้มาใช้บริการดื่มกาแฟไป เล่นเกมส์กระดานไป บ้างก็คุยเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งวิจารณ์การเมืองไปด้วยอย่างเมามันส์

ในศตวรรษที่ 17 กาแฟได้เดินทางมาถึงทวีปยุโรป กลิ่นหอมหวลและมนต์ขลังของคาเฟอินอันเย้ายวน พาให้ “คาเฟ่” ถือกำเนิดขึ้นในยุโรปในเวลาเดียวกัน ใคร ๆ ก็มีความสุขไปกับการดื่มกาแฟ ยิ่งได้ดื่มไปคุยไปกับผู้คนมากหน้าหลายตายิ่งสนุก ทำให้วัฒนธรรมร้านคาเฟ่แพร่สะพัดไปสู่ประเทศต่าง ๆ ทั่วยุโรป

สำหรับที่ไทย มีบันทึกไว้ว่าเรามีร้าน “คาเฟ่” แห่งแรกชื่อ “Red Tea Room” เปิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1917 ที่สี่กั๊กพระยาศรี โดย แหม่มโคล ผู้ก่อตั้งโรงเรียนวังหลัง (วัฒนาวิทยาลัย) นั่นเอง ส่วนที่มีเจ้าของเป็นคนไทยคือ “ร้านกาแฟนรสิงห์” ของเจ้าพระยารามราฆพ โดยเปิดอยู่ในสนามเสือป่า

ร้านกาแฟนรสิงห์

แรกเริ่มเดิมทีดูเหมือนว่าร้านกาแฟจะเป็นที่ ๆ ผู้คนมาเพื่อละเลียดกาแฟกันเป็นหลัก หากไปถามคนเมื่อ 100 ปีก่อน เพลงที่นึกถึงคงจะเป็นเพลงอะไรก็ตามฟังง่าย ๆ ที่บรรเลงคลอไปเบา  ๆ แต่หากเอ่ยถึง “คาเฟ่” ที่บ้านเราที่ไม่ทราบว่าวิวัฒนาการมาอย่างไร ในราว ๆ ยุค 80’s หลังจากที่ร้านคล้ายคาเฟ่ ขนาดเล็ก ที่มีมีดนตรีสดเล่นให้นั่งฟัง มีอาหารและเครื่องดื่มต่าง ๆ ให้สั่งได้รับความนิยมขึ้นมา จนเปิดขึ้นตามห้างต่าง ๆ มากมาย ก็ถึงยุคของ “คาเฟ่” ที่คนที่มาไม่ได้จะมาทานกาแฟ และไม่ได้จะคุยกันเอง

บนถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ที่เต็มไปด้วยอาบอบนวด “คาเฟ่” ในรูปแบบใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมา และเป็น คาเฟ่ ที่หากชาวอาหรับคอคาเฟ่ยุคโบราณทราบคงจะตกใจ เพราะเขาไม่ได้เน้นดื่มกาแฟกัน แต่เป็นสถานที่สำหรับมาฟังเพลงสไตล์คึกคัก แสงสีเสียงครบ สลับด้วยการชมตลกจากคณะตลกต่าง ๆ ที่ล้วนแจ้งเกิดมาจาก “คาเฟ่” รูปแบบนี้ทั้งนั้น ส่วนเครื่องดื่มนั้น แอลกอฮอล์น่าจะขายได้มากกว่ากาแฟอยู่หลายเท่า

 

วิลล่าคาเฟ่ ดาราคาเฟ่ ธนบุรีคาเฟ่ และ พระราม 9 คาเฟ่ ทุกที่คือคาเฟ่ชื่อดังที่ใคร ๆ แม้ไม่เคยไปก็ต้องรู้จัก และหากไปถามคนยุคนั้นว่านึกถึง “คาเฟ่” แล้วนึกถึงเพลงอะไร ทุกคนล้วนต้องนึกถึงเพลงลูกทุ่ง ลูกกรุง หรืออาจจะเป็นเพลงแปลงที่ดาวตลกนำมาร้องให้ขำกลิ้งกันทุกค่ำคืน

งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ในที่สุด คาเฟ่ ในรูปแบบที่แปลกไปจากต้นกำเนิด ก็ค่อย ๆ หายไปตามกาลเวลา พร้อมกับบุคคลสำคัญของวงการคาเฟ่ยุคนั้น ที่ล้มหายตายจากไปก่อนเวลาอันควร

มาถึงวันนี้ หากถามคนรุ่นปัจจุบันถึงคาเฟ่ เขาจะนึกถึงสถานที่ขายกาแฟที่มีจุดประสงค์คล้าย ๆ แรกเริ่มเดิมทีเมื่อ 500 ปีก่อน เพิ่มเติมคือ คาเฟ่ ยุคนี้จะตกแต่งสวยงามสะดุดตาสะกดใจ มีบาริสต้าผู้รอบรู้เรื่องกาแฟ คัดสรรเมล็ดพันธุ์กาแฟดี ๆ มาจากทุกมุมโลก พร้อมเสริฟกาแฟด้วยพิเศษในรูปแบบต่าง ๆ ให้ผู้มาเยือน และแน่นอนว่าจะต้องมีมุมถ่ายรูปด้วย

นอกจากนี้ยังมีคาเฟ่ที่เน้นธีมต่าง ๆ เป็นจุดขายมากกว่าขายกาแฟ เช่นคาเฟ่แมว ค่าเฟ่หมา คาเฟ่นกฮูก เป็นต้น

กลับมาถึงคำถามที่ว่าหากคิดถึงคาเฟ่ คุณจะนึกถึงเพลงอะไร?  จริง ๆ แล้วคำถามนี้ไม่มีคำตอบแน่ชัดหรอกครับ แต่หากอยากฟังเพลงแนวที่เขาเปิดกันในคาเฟ่ ผมแนะนำให้ลองหา Playlist Cafe Music ต่าง ๆ ในสตรีมมิ่งมาเปิดฟัง ฟังแล้วบางทีเราไม่ต้องไปนั่งที่คาเฟ่ แค่ละเลียดกาแฟจากถ้วยใบโปรดอยู่ที่บ้าน เคล้าเพลงที่ดีต่อจิบ ก็สุนทรีย์ไม่แพ้กัน ดีไม่ดี “คาเฟ่” บางแห่งก็อาจเปิดเพลงจาก playlist เหล่านั้นด้วยก็ได้

ส่วนผมนั้น หากนึกถึง คาเฟ่ ผมจะนึกถึงเพลงแนว Bossanova ที่ไม่ตื่นเต้นแต่มีความละมุมละไม เป็นแบ็คกราวด์ทางความคิดได้ดีหากนั่งคนเดียว หรือเป็นเพลงประกอบการสนทนาก็ไม่หนวกหู แม้กระทั่งจะงีบหลับไปก็ยังเพลินครับ  ขอแนะนำอัลบั้ม Kindly Delite ของพี่ Boyd Kosiyabong กับ Playlist Bossa Cafe ของ BMG สองชุดนี้น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีของเพลงคาเฟ่ในแบบของผมครับ ส่วนเพลง “คาเฟ่” ในแบบของคุณจะเป็นอย่างไร ก็ต้องให้คุณลองออกไปละเลียดกาแฟกันแล้วมาเล่าสู่กันฟังนะครับ