ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 13 - 19 พฤษภาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | ปริศนาโบราณคดี |
ผู้เขียน | เพ็ญสุภา สุขคตะ |
เผยแพร่ |
ปริศนาโบราณคดี
เพ็ญสุภา สุขคตะ
ปิดศักราช 725 ปีเชียงใหม่
กับปรากฏการณ์คำถาม
‘นครนี้ใครสร้าง?’
สิ้นสุดไปแล้วกับสโลแกนหรือแบรนด์ “725 ปีนครเชียงใหม่” ซึ่งใช้กันมาตลอดปี 2564 (เริ่มนับจากช่วงกลางเดือนเมษายนปีกลาย จนถึงกลางเดือนเมษายนที่เพิ่งผ่านพ้นมานี้)
เหตุที่เมืองเชียงใหม่สร้างเมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ.1839 (คำนวณตามปฏิทินระบบเกรกกอเรียน) แต่คนทั่วไปรวมทั้งหน่วยงานองค์กรต่างๆ ยังยึดถือเป็นวันที่ 12 เมษายน กันอยู่เช่นเดิม (นับตามปฏิทินระบบจูเลียน) ซึ่งมีความแตกต่างกัน 7 วัน
ในวาระที่นครเชียงใหม่กำลังจะมีอายุเข้าสู่ขวบปีที่ 726 นี้ ได้เกิดปรากฏการณ์ที่สร้างความฮือฮาส่งท้าย ก่อนการปิดศักราช 725 ปีนครเชียงใหม่ อย่างเหลือเชื่อ
ใครสร้างเมืองเชียงใหม่?
อนุสาวรีย์ที่ทำไมต้องมีคนอื่น?
ช่วงปลายเดือนเมษายน คิมหันตฤดูได้เพิ่มความร้อนแรงยิ่งขึ้น เมื่อมีนักวิชาการล้านนาหลายท่านได้ลุกขึ้นมาตั้งคำถามแทงใจดำว่า
“แน่ใจหรือว่า กษัตริย์อีกสององค์ที่ปรากฏในอนุสาวรีย์สามกษัตริย์นั้น ได้มาช่วยสร้างเมืองเชียงใหม่จริง ในเมื่อพระญามังรายมีความรู้ความสามารถ ถึงขั้นสร้างเมืองมาตั้งหลายแห่งก่อนเชียงใหม่ ทั้งฝาง พร้าว ไชยปราการ เวียงกุมกาม เชียงราย ไม่เห็นต้องมีคนบ้านอื่นเมืองอื่นมาช่วยสร้างเลย แล้วเกิดอะไรขึ้น ตอนจะสร้างเมืองเชียงใหม่ ถึงกับต้องเชิญกษัตริย์ต่างเมืองที่อยู่ในสถานะเป็นกึ่ง ‘อริ’ กึ่ง ‘คู่แข่ง’ กันอยู่ในที ให้มาช่วยสร้าง?”
ทันทีที่มีการเปิดประเด็นเรื่องดังกล่าว แน่นอนว่าย่อมต้องมีทั้งฝ่ายเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
ฝ่ายไม่เห็นด้วยมีการกล่าวหาว่าผู้เสนอแนวคิดนี้มีความเป็น “ล้านนาอิสม์เกินเหตุ” หรือ “ท้องถิ่นนิยมตกขอบ”
ส่วนฝ่ายเห็นด้วยมองว่า นี่คือมิติใหม่ที่ควรรับฟัง เราไม่มีสิทธิ์ตั้งคำถามใดๆ ที่คาใจต่อประวัติศาสตร์ล้านนาบ้างเลยหรือ?
นำไปสู่การขยายนิยามและความหมายของ “การศึกษาประวัติศาสตร์นั้น มีจุดมุ่งหมายเพื่ออะไรกันแน่?” เรียนเพื่อท่องจำเป็นนกแก้วนกขุนทอง ฟังแล้วต้องเชื่อตามกรอบความคิดเดิมๆ ทุกเรื่องอยู่ร่ำไปหรือเช่นไร?
ฤๅถึงเวลาแล้ว ที่ผู้ถูกบังคับให้เรียน ควรมีโอกาสตั้งคำถามเห็นแย้งต่อทฤษฎีเดิมๆ บ้าง?
ดิฉันจึงได้เห็นความเคลื่อนไหวของนักวิชาการด้านล้านนาศึกษาจำนวนไม่น้อย บางท่านไม่ถึงกับออกตัวแรงเกินไป แต่ก็ขานรับกับข้อเสนอใหม่อยู่ในที
แต่ดูเหมือนจะพุ่งเป้าไปตั้งคำถามต่อ “ตัวรูปปั้น” หรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า “พระบรมราชานุสาวรีย์” มากกว่าที่จะเห็นแย้งเชิงประวัติศาสตร์ ว่าใครได้มาช่วยกันสร้างเมืองเชียงใหม่จริงหรือไม่
เป็นน้ำเสียงที่ฟังดูออกจะโมโหโกรธาต่อตัวอนุสาวรีย์มากกว่า “เนื้อหาทางประวัติศาสตร์” ในทำนองว่า
“โห! แค่มาช่วยคอมเมนต์ แนะนำ ติติงเรื่องการสร้างเมืองเล็กๆ น้อยๆ ไม่กี่วลี (คือยอมรับว่ากษัตริย์อีกสองพระองค์มาร่วมวางแผนด้วยจริง) ก็ต้องถึงกับสร้างอนุสาวรีย์ให้ด้วยเลยหรือ ในขณะที่พระญามังรายเป็นคนวางรากปักฐานต่อสู้เพื่อให้เกิดเมืองเชียงใหม่มาโดยลำพัง ยากแค้นแสนเข็ญ ทำไมอนุสาวรีย์นี้จึงต้องให้เครดิตแก่กษัตริย์อีกสองพระองค์ด้วย?”
เรื่องนี้ลามไปถึงการตั้งข้อกังขาต่อ “กรมศิลปากร” ผู้ออกแบบอนุสาวรีย์ ในทำนองว่า “ตอนจัดสร้างอนุสาวรีย์นั้น คนออกแบบเป็นข้าราชการจากส่วนกลาง สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นที่ทราบกันดีว่าหน่วยงานรัฐมักทำหน้าที่รวมศูนย์อำนาจ จึงอาจคิดรวบหัวรวบหาง ยกความดีความชอบเฉลี่ยให้แก่กษัตริย์อีกสองพระองค์ด้วยเป็นแน่แท้ ยิ่งองค์หนึ่งเป็นชาวสยามสุโขทัย?”
มาถึงจุดนี้ ดิฉันให้นึกสงสัยเสียเหลือเกินว่า ช่วงที่มีการออกแบบจัดสร้างอนุสาวรีย์สามกษัตริย์เมื่อหลายทศวรรษก่อนนั้น ใครมีส่วนร่วมรู้เห็นเป็นใจและอยู่ในเหตุการณ์บ้าง
ว่าด้วยพระบรมราชานุสาวรีย์สามกษัตริย์
หนังสือชื่อ “ล้านนาไทย : อนุสรณ์พระราชพิธี พระบรมราชานุสาวรีย์สามกษัตริย์ (เชียงใหม่ 2526-27)” ระบุว่าการดำริจัดสร้างอนุสาวรีย์สามกษัตริย์นี้มีขึ้นตั้งแต่ปี 2512 แล้ว
บุคคลผู้จุดประกาย กระตุ้นให้ชาวเชียงใหม่อยากมีอนุสาวรีย์ “พ่อขุนเม็งราย” (เป็นคำเรียกเมื่อปี 2512) เป็นท่านแรกก็คือ “พระครูศรีธรรมคุณ” (กมล โชติมนฺโต) เจ้าอาวาสวัดสันป่าข่อย
ต่อมามีแนวร่วมคือสมาชิกพุทธสมาคม ยุวพุทธิกสมาคม ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน เมื่อคนหลายคณะดำริตรงกันจึงรวมใจกันยื่นเรื่องต่อ พ.ต.อ.นิรันดร ชัยนาม ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่
หลังจากนั้นไม่นาน ความปรารถนาของชาวเชียงใหม่ก็ถูกส่งไปถึง นายสุกิจ นิมมานเหมินท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รีบขานรับทันที แต่เขาได้เสนอทางเลือกใหม่ว่า
“ควรสร้างเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์สามกษัตริย์เหมาะสมกว่า นอกจากพญามังราย (สมัยนั้นยังไม่ใช้ ‘พระญา’ แบบปัจจุบันที่นักวิชาการพยายามช่วยกันแก้ไขให้ถูกต้องตามจารึก) แล้ว ควรมีพญาร่วง (หมายถึงพ่อขุนรามคำแหงมหาราช) และพญางำเมือง เพราะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่พระมหากษัตริย์สามพระองค์มาทรงร่วมกันวางผังสร้างเมือง”
ความเห็นนี้ตรงกับใจของนายแพทย์มนู แมนมนตรี หนึ่งในคณะกรรมการอำนวยการสร้างอนุสาวรีย์อย่างเหมาะเหม็ง
จึงเอาข้อเสนอของรัฐมนตรีสุกิจ มาย้ำในที่ประชุมคณะกรรมการเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2512 ณ พุทธสถานเชียงใหม่ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบ
เป็นอันว่า วัตถุประสงค์แรกสุดของชาวเชียงใหม่ที่ต้องการแค่ “อนุสาวรีย์ของพ่อขุนเม็งราย” เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ได้ถูกเปลี่ยนใหม่ โดยบุคคลผู้เสนอแนวคิดให้ขยายอนุสาวรีย์จาก 1 เป็น 3 พระองค์ก็คือ นายสุกิจ นิมมานเหมินท์ นักการเมืองผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขชาวเชียงใหม่แท้ๆ ผู้นี้นี่เอง
โครงการนี้หยุดชะงักไประหว่างปี 2513-2518 จะด้วยเหตุผลกลใดก็ไม่ทราบได้ ไม่มีการบันทึก ไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ ตลอดช่วง 6 ปี
กระทั่งปี 2519 อยู่ๆ ก็มีการหยิบโครงการนี้มาปัดฝุ่นอีกครั้งโดย “หม่อมธาดา ขุนศึกเม็งราย” นายกสมาคมสตรีนักธุรกิจและวิชาชีพ ได้ทำเรื่องถึงหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีขณะนั้นว่า
“ขออนุญาตสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์สามกษัตริย์ ณ สวนสาธารณะของเทศบาลนครเชียงใหม่ ประตูท่าแพ” คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามนั้น
ปี 2520 ยุคที่นายประเทือง สินธิพงษ์ เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ได้เสนอให้ย้ายสถานที่จัดสร้างอนุสาวรีย์ไปที่แห่งอื่น ด้วยแถวประตูท่าแพนั้นควรจัดสร้างเป็นสนามเด็กเล่นมากกว่า
ปี 2523 ยุคนายชัยยา พูนศิริวงศ์ เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ได้สถานที่ประดิษฐานอนุสาวรีย์แห่งใหม่ที่ลงตัว (คือสถานที่ปัจจุบัน) มีการประสานให้กรมศิลปากรดำเนินการออกแบบ โดยกรมศิลป์มอบหมายให้นางสาวไข่มุกด์ ชูโต เป็นประติมากรรับผิดชอบในการปั้น ใช้เวลาศึกษาออกแบบและปั้นนานถึง 3 ปีเต็ม นอกจากนี้ ยังมีการระดมทุนจัดสร้างเหรียญสามกษัตริย์ให้ประชาชนเช่าบูชา ปลุกเสกโดยหลวงปู่แหวน สุจิณโณ
เรียกได้ว่าความคืบหน้าที่เห็นอย่างเป็นรูปธรรมทั้งหมด บังเกิดขึ้นในยุคของผู้ว่าชัยยา กระทั่งสามปีผ่านไป จึงอัญเชิญพระบรมราชานุสาวรีย์ จากท้องสนามหลวง กรุงเทพมหานคร (ออกจากโรงหล่อกรมศิลปากร) มาประดิษฐานยังฐานพระแท่นบริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ (หลังเดิม) ในช่วงเดือนกันยายน 2526
ที่เล่ามายืดยาว (อันที่จริงย่นย่อมาก) ก็เพื่อให้ผู้อ่านเห็นกระบวนการจัดสร้างอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ว่า ไม่ง่ายเลย นับจากปี 2512 ถึง 2526 บางช่วงบางตอนขลุกขลักทุลักทุเล บางยุคสมัยต้องใช้การตัดสินใจขั้นเด็ดขาดว่าควรเปลี่ยนสถานที่ดีหรือไม่ และเชื่อได้เลยว่าย่อมต้องมีผู้คัดค้านอยากได้ท่าแพที่เดิม
มุมมองนักวิชาการเมื่อ 4 ทศวรรษก่อน
หนังสือเล่มเดียวกันนี้ ได้กล่าวถึงเบื้องหลังการจัดทำ “คำจารึกใต้ฐานพระราชานุสาวรีย์สามกษัตริย์” ว่า ผู้ว่าฯ ชัยยาได้แต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำหนังสืออนุสรณ์พระบรมราชานุสาวรีย์ หนังสือมีชื่อว่า “ล้านนาไทย” โดยมีนายทิว วิชัยขัทคะ เป็นประธาน
และนี่คือรายชื่อกรรมการบางส่วน : ศาสตราจารย์ไกรศรี นิมมานเหมินท์ ผศ.มณี พยอมยงค์ รศ.อุดม รุ่งเรืองศรี อ.ทวี สว่างปัญญางกูร ดร.ฮันส์ เพนธ์ เกษม บุรกสิกร สมหมาย เปรมจิตต์ ปวงคำ ตุ้ยเขียว อรุณรัตน์ วิเชียรเขียว ฯลฯ
เนื้อหาที่เหล่าปราชญ์ถกเถียงกัน หนักไปในเชิงการชำระคำนำหน้าพระนาม เช่น ควรใช้คำว่า “พระญา/พรญา/พญา” คำใดคำหนึ่งแทน “พ่อขุน” รวมทั้งมีการเสนอคำว่า “มังราย” น่าจะเป็นคำที่ถูกต้องกว่า “เม็งราย”
สรุปแล้วเป็นการทำงานที่เน้นการสืบค้นพระราชประวัติของกษัตริย์ทั้งสามพระองค์ให้ถูกต้อง (เพื่อนำข้อมูลมาเขียนคำจารึกที่ฐานอนุสาวรีย์) มากกว่าจะเป็นการตั้งแง่เปิดประเด็นถกเถียงว่า เหมาะสมหรือไม่ที่เอาบทบาทของกษัตริย์ต่างเมืองอีกสองพระองค์มาประกบกับบทบาทของกษัตริย์เชียงใหม่ ให้พระองค์ดูด้อยลง
ด้อยลงจริงหรือ? นักวิชาการยุค 4 ทศวรรษก่อน คงไม่คิดเช่นนั้นแน่ๆ การเชิดชูพระเกียรติของสามกษัตริย์ให้ทัดเทียมกันนั้น พวกเขาน่าจะเห็นว่าเป็นการ “ประกาศความยิ่งใหญ่ของพระญามังรายว่ามีบารมีแผ่ไพศาล” มากกว่า
ถึงขนาดที่ว่า “แม้แต่กษัตริย์หนุ่มเมืองอื่นยังต้องเดินทางมาเป็นสักขีตอนกษัตริย์องค์นี้สร้างเมือง”
อีกน้ำเสียงหนึ่งที่จับได้จากบทความหลายชิ้นในหนังสือเล่มนี้คือ พบว่าการเชื่อมเอาบทบาทของสองกษัตริย์มาสนับสนุนพระญามังราย ก็เพื่อต้องการประกาศให้เห็นถึง “ความอินเตอร์” ของพระญามังราย ที่มีพระสหายเป็น “พญาร่วง” (พ่อขุนรามคำแหงมหาราช) ผู้มีอิทธิพลครอบคลุมอาณาบริเวณกว้างไกลถึงนครศรีธรรมราช เมาะตะมะ ทั้งยังได้รับการยอมรับจากจีน ลังกา ขอม มอญ
ฝ่ายพระญางำเมืองนั้นเล่า ก็มีอิทธิพลครอบคลุมดินแดนลุ่มน้ำอิง ยม โขง ซ้ำยังมีดีกรีเป็นศิษย์เก่าสำนักเขาสมอคอนจากละโว้
เห็นได้ว่า ในทัศนะของนักวิชาการเมื่อ 4 ทศวรรษก่อน มองว่าการผนวกเอาสองกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่มาตอกย้ำว่ามีส่วนร่วมสร้างเมืองเชียงใหม่นี้ ถือเป็นการผนึกกำลังเสริมบารมีให้แก่พระญามังรายเสียด้วยซ้ำ มากกว่าจะคิดเห็นเป็นอย่างอื่น
ไม่เป็นไรค่ะ 40 ปีผ่านไป ประวัติศาสตร์สามารถมองมุมใหม่ จนถึงขนาดเปลี่ยนขั้วได้ เราต้องรับฟังนักวิชาการด้านล้านนาศึกษา ณ พ.ศ.2565 ที่ออกมาเปิดประเด็นไม่เห็นด้วยว่า จะมีใครมาช่วยพระญามังรายสร้างเมืองเชียงใหม่ได้อย่างสนิทใจ ในเมื่อต่างคนต่างก็มีปมปัญหาคาใจกันอยู่หลายเรื่อง
หมายเหตุ บทความนี้ดิฉันไม่ได้มีเจตนาจะหาเหตุผลมาหักล้างกับข้อเสนอใหม่ของนักวิชาการบางท่านที่เห็นต่างจากทฤษฎีเดิม จึงไม่ได้ลิสต์ประเด็นที่ท่านเปิดมาหักล้างโจทย์ทีละข้อ เนื่องจากเป็นปัญหา “เชิงวิเคราะห์ตีความ” ใครๆ ก็มีสิทธิ์ที่จะตีความ “ถ้อยคำเดียวกัน” ให้มีผลลัพธ์แตกต่างกันได้
วัตถุประสงค์ที่ดิฉันเขียนบทความนี้ เพียงแค่สงสัยแนวคิดของคนเมื่อ 40-60 ปีก่อน (นับตั้งแต่ปี 2512-2526) ยุคที่พวกเขาดำริจะจัดสร้างอนุสาวรีย์กันนั้น ว่านึกอย่างไรถึงได้ไปดึงเอากษัตริย์อีกสองพระองค์ให้มายืนผงาดกลางเมืองเชียงใหม่ประกบกับพระญามังรายด้วย ในที่สุดดิฉันก็ได้ความกระจ่างในประเด็นนี้แล้ว
นี่ถ้าไม่มีอนุสาวรีย์สามกษัตริย์เด่นหรากลางใจเมืองเชียงใหม่ ประวัติศาสตร์ช่วงแรกสร้างราชธานีศรีนครพิงค์ก็คงไม่ถูกขุดคุ้ยมาถกเถียง ตั้งคำถาม เกิดปฏิกิริยาต่อต้าน จนถึงขั้นปฏิเสธเช่นนี้เป็นแน่แท้ •