ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 19 - 25 เมษายน 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
เมื่อวันที่ 13 เมษายน ได้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ที่ห้างสรรพสินค้าเวสต์ฟิลด์ บอนได จังก์ชั่น นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เมื่อมีชายใช้มีดไล่แทงผู้คนที่เดินอยู่ภายในห้างสรรพสินค้า สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ผู้ที่อยู่ในห้าง ที่พากันวิ่งหนีตาย มีคนถูกคนร้ายแทงหลายคน
กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่พบเห็นเหตุการณ์ ได้รีบเข้าระงับเหตุ และได้วิสามัญผู้ก่อเหตุเสียชีวิตคาที่
จบเหตุการณ์ จนถึงตอนนี้ มีผู้ถูกคนร้ายแทงเสียชีวิตแล้ว 6 ราย และยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกหลายสิบคน
ส่วนผู้ก่อเหตุมีชื่อว่า นายโจเอล เคาซี อายุ 40 ปี ที่ถูกระบุว่ามีอาการป่วยทางจิต และน่าจะพุ่งเป้าไปที่เหยื่อที่เป็นผู้หญิงเป็นหลัก
โดยจากวิดีโอที่บันทึกภาพเหตุการณ์เอาไว้ได้ และมีการเผยแพร่ไปบนสื่อโซเชียล จะเห็นได้ว่า นายเคาซีได้วิ่งไล่ตามเหยื่อที่ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง และในเหยื่อที่เสียชีวิต 6 ราย เป็นผู้หญิงถึง 5 ราย
ทั้งนี้ นายเคาซีมาจากเมืองทูวูมบา ใกล้กับเมืองบริสเบน และเพิ่งจะย้ายเข้ามาอยู่ที่ซิดนีย์ได้ไม่นาน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าตรวจค้นคลังเก็บของเล็กๆ ที่เคาซีได้เช่าเอาไว้เมื่อไม่นานมานี้ แต่ก็ไม่พบหลักฐานใดๆ ที่บ่งชี้ว่านายเคาซีจะก่อเหตุร้าย
ด้านพ่อแม่ของนายเคาชีเปิดเผยว่า ลูกชายประสบปัญหาสุขภาพจิตมาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น
โดยนายโรเจอร์ โลว์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจรัฐควีนส์แลนด์ บอกว่า เคาซีมีปัญหาทางจิตตั้งแต่อายุ 17 ปี และได้ติดต่อกับตำรวจบ่อยครั้งในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา แต่ก็ไม่เคยถูกตำรวจจับหรือตั้งข้อหาจากการก่ออาชญากรรมในรัฐควีนส์แลนด์แต่อย่างใด
เบื้องต้นยังไม่ได้ระบุชัดไปว่าเป็นการก่อการร้าย แต่ต้องสืบสวนกันอย่างละเอียดต่อไป
หลังจากนั้นได้เพียง 2วัน ในช่วงค่ำวันที่ 15 เมษายน มีรายงานเด็กชายวัย 16 ปี ใช้มีดแทงเหยื่อ 4 คนภายในโบสถ์แห่งหนึ่งที่นครซิดนีย์ หนึ่งในผู้ถูกแทง คือบาทหลวงที่กำลังประกอบพิธีทางศาสนาอยู่ ซึ่งถูกเด็กชายถือมีดเดินเข้าไปแทงขณะเทศนาอยู่
เหตุดังกล่าว คาเรน เวบบ์ ผู้บัญชาการตำรวจนิวเซาธ์เวลส์ ระบุว่า “เป็นการก่อการร้าย” โดยมีแรงจูงใจทางศาสนาของพวกลัทธิหัวรุนแรง ที่ต้องการจะข่มขู่ให้สาธารณชนเกิดความหวาดกลัว และโชคดีที่ไม่มีผู้เสียชีวิตจากเหตุที่เกิดขึ้น
ขณะที่ตัวเด็กที่ก่อเหตุถูกควบคุมตัวไปดำเนินคดีเรียบร้อย
ส่วนเหตุการณ์ไล่แทงคนที่ห้างสรรพสินค้านั้น เวบบ์ระบุว่า ไม่ใช่เหตุก่อการร้ายแต่อย่างใด
เหตุการณ์ทั้งสองถือว่าเป็นเหตุสะเทือนขวัญผู้คนในออสเตรเลียอย่างมาก เนื่องจากออสเตรเลียไม่ค่อยเกิดเหตุรุนแรงเช่นนี้ เพราะมีกฎหมายอาวุธปืนและมีดที่ถือว่าบทลงโทษรุนแรงที่สุดประเทศหนึ่งในโลก
โดยกฎหมายเรื่องอาวุธปืนของออสเตรเลีย มีการจำกัดการครอบครองปืนไรเฟิลจู่โจม ทั้งแบบอัตโนมัติและกึ่งอัตโนมัติ ที่กำหนดให้ต้องมีการขึ้นทะเบียนปืน และต้องขอใบอนุญาตในการครอบครองปืน
ซึ่งการขอใบอนุญาตครอบครองปืนนั้น จะต้องใช้เวลาในการตรวจสอบนานเป็นเดือน อีกทั้งจะต้องมีการต่ออายุทุกปี
และจะมีการเช็กประวัติผู้ซื้ออาวุธอย่างละเอียด ทั้งประวัติเกี่ยวกับสารเสพติดและประวัติอาชญากรรม อีกทั้งยังต้องมีการทดสอบสุขภาพจิต และต้องเข้าอบรมหลักสูตรความปลอดภัยด้วย
นอกเหนือจากความเข้มงวดในการขอครอบครองอาวุธแล้ว ในส่วนของรัฐบาล ก็มีโครงการซื้อคืนอาวุธจากประชาชนด้วย เพื่อดึงอาวุธออกจากระบบ และทำลายทิ้ง
ทั้งนี้ สมัยก่อนออสเตรเลียเองก็เป็นประเทศหนึ่งที่ไม่ค่อยเข้มงวดเรื่องอาวุธมากนัก และประชาชนเข้าถึงอาวุธได้อย่างง่าย รวมถึงพวกอาวุธที่มีประสิทธิภาพสูง
ก่อนที่จะมีการปรับเปลี่ยนนโยบายเรื่องการครอบครองอาวุธ นับตั้งแต่เกิดเหตุกราดยิงผู้คนครั้งใหญ่ที่เมืองพอร์ตอาร์เทอร์ รัฐแทสมาเนีย เมื่อปี ค.ศ.1996 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 35 ราย จนสร้างความหวาดวิตกให้กับประชาชนในเรื่องความปลอดภัยจากเหตุร้ายและอาวุธปืน นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงกฎหมายให้มีความเข้มข้นมากขึ้น
แม้กฎหมายจะเข้มงวดเท่าไหร่ หากแต่ออสเตรเลียก็ยังไม่รอดพ้นจากเหตุรุนแรง อย่างเหตุกาณ์ที่เกิดขึ้น 2 ครั้งล่าสุด เป็นการใช้มีดเป็นอาวุธ ซึ่งก็คงยากที่จะป้องกันได้ และมีดที่เด็กชายวัย 16 ใช้ก่อเหตุที่โบสถ์ ก็ยังเป็นมีดพกแบบสปริง ที่ถือว่าผิดกฎหมายออสเตรเลียเช่นกัน แต่เด็กชายก็ยังสามารถหามาใช้ก่อเหตุได้
อย่างไรก็ตาม เหตุเขย่าขวัญออสเตรเลียทั้ง 2 ครั้ง เจ้าหน้าที่ไม่พบความเชื่อมโยงกันแต่อย่างใด และคงต้องรอเพียงผลการสอบสวนอย่างละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อไป
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022