ติช นัท ฮันห์ : ปฏิบัติธรรมไม่ใช่การทำบุญแต่ทำให้เห็นทุกข์/กาแฟดำ สุทธิชัย หยุ่น

สุทธิชัย หยุ่น

กาแฟดำ

สุทธิชัย หยุ่น

 

ติช นัท ฮันห์

: ปฏิบัติธรรมไม่ใช่การทำบุญแต่ทำให้เห็นทุกข์

 

ผมเดินทางไป “หมู่บ้านพลัม” ที่ฝรั่งเศสเมื่อ 13 ปีก่อนเพื่อร่วมปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่ “ติช นัท ฮันห์” และด้วยความหวังว่าจะได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับท่าน

ความเป็นนักข่าวของผมทำให้ผมหวังลึกๆ ว่าจะได้สัมภาษณ์ท่านเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของสารคดี “Zen 2010 : จากสวนโมกข์สู่หมู่บ้านพลัม”

เพื่อจะได้สานต่อคำสอนของท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุเชื่อมต่อกับของท่านติช นัท ฮันห์

เป็น 10 วันที่ผมได้เรียนรู้จากหมู่บ้านพลัมอย่างอิ่มเอิบด้วยความเข้าใจในความหมายของคำว่า “อยู่กับปัจจุบันขณะ” อย่างแท้จริง

ปรมาจารย์แห่งคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งสองเคยกล่าวไว้ตรงกันว่า

เพียงแค่เรากลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะ

หายใจเข้า หายใจออก มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม

เราก็สามารถ “นิพพาน” ได้

ที่นี่และเดี๋ยวนี้

ผมมีคำถามว่ามันเป็นได้จริงหรือ

วันที่ผมได้สัมภาษณ์พิเศษหลวงปู่ติช นัท ฮันห์ ผมพยายามตั้งคำถามอย่างละเอียดทุกแง่ทุกมุมเกี่ยวกับชีวิต

เพื่อหาทางออกจากปัญหาการยึดติด

ในเรื่องบุญ บาป สวรรค์ นรก การเกิดและการตาย

ตอนหนึ่งผมถามท่านว่า

ในวัฒนธรรมบ้านเรา ไม่สามารถสอดแทรกเรื่องการเจริญสติไปสู่นิพพานในปัจจุบันขณะแทนความเข้าใจเรื่องทำบุญเพื่อไปสวรรค์ได้ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?

ท่านติช นัท ฮันห์ ตอบว่า

“ถ้าเราปฏิบัติธรรมอย่างถูกต้อง สวรรค์ก็จะอยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้อยู่ต่อหน้าเราเวลานี้ ไม่ต้องรอให้ตายก่อนค่อยไปสวรรค์…

“โลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์ทั้งข้างนอกและข้างในตัวเอง แค่มีสติ สมาธิ เราก็จะปล่อยความกังวลและความทุกข์ออกไปได้แล้ว เราก็จะมีความสุขกับสิ่งที่อยู่ข้างหน้า อย่างที่มันเป็น… ‘สวรรค์จึงอยู่ตรงนี้ และเดี๋ยวนี้’ เป็นสิ่งที่เป็นจริงและอยู่ในวิสัยที่ทำได้

“ความหวังเรื่องสวรรค์ที่จะไปถึงอนาคตนั้น ไม่ใช่ของจริง

“สำหรับชาวตะวันตกแล้ว อาณาจักรของพระเจ้านั้นมีอยู่เดี๋ยวนี้ หรือไม่ก็ไม่มีเลย

“ถ้าคุณอยู่ที่นี่และอยู่กับปัจจุบันขณะจริงๆ ความอัศจรรย์แห่งชีวิตก็จะเผยตัวออกมา

“คุณจะรู้สึกว่ากำลังนั่ง กำลังเดินอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์ หรืออยู่ในดินแดนสุขาวดี

“นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่เราจะอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายๆ สวรรค์ ดินแดนของพระเจ้านั้น มีอยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ถ้าเพียงแค่เราอยู่กับปัจจุบันขณะ ถ้าเราไม่สามารถอยู่กับปัจจุบันขณะ อาณาจักรที่ว่าก็ไม่มีอยู่

“สวรรค์ก็เหมือนกัน และถ้าเราไม่รู้ตัวเวลาโกรธ อิจฉา หรือสิ้นหวัง นรกนั้นก็มีอยู่ ที่นี่และเดี๋ยวนี้ เช่นเดียวกัน

“หากเราปฏิบัติธรรม เจริญสติ สมาธิ ภาวนาเราก็จะได้ไปสู่อีกฝั่งหนึ่ง คือฝั่งสวรรค์ ที่นี่และเดี๋ยวนี้…”

ผมชวนหลวงปู่คุยถึงท่านพุทธทาส

ผมบอกว่าอาจารย์พุทธทาสเคยสอนไว้ว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเรื่องอื่นใด นอกจากเรื่องทุกข์และเรื่องดับทุกข์เท่านั้น

สั้นๆ ง่ายๆ อย่างนั้น

ผมถามหลวงปู่ว่าท่านได้ศึกษาคำสอนของอาจารย์พุทธทาสด้วยใช่ไหม

หลวงปู่ตอบว่า “ใช่”

ผมถามต่อว่าหลวงปู่มีความเห็นเกี่ยวกับอาจารย์พุทธทาสอย่างไร

หลวงปู่ตอบสั้นๆ ว่า

“ท่านเป็นครูที่ยิ่งใหญ่ เป็นเพชรแห่งวงการพุทธศาสนาเมืองไทย”

ผมถามถึงเรื่อง “เกิดและตาย”

ท่านพุทธทาสเคยบอกไว้ว่า

“ให้ตายเสียก่อนตาย ให้ความรู้สึกว่ามีตัวตน

ตัวกู ของกู ดับไปเสียก่อนที่ร่างกายจะตาย

ก่อนที่จะตายทางร่างกายนั้น

พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ดับตัวตน

ความรู้สึกว่าตัวตน ว่าของตน

ซึ่งเกิดอยู่เป็นประจำ ให้ดับมันเสีย

ก่อนที่ร่างกายจะตายจริง

อย่างนี้เรียกว่า ตายเสียก่อนตาย”

หลวงปู่บอกว่า

“ไม่มีการเกิด ไม่มีการตาย ทุกอย่างเป็นเพียงการสืบเนื่องเช่นเดียวกัน เมฆกลายเป็นฝน และฝนก็มาเป็นส่วนหนึ่งของน้ำชาถ้วยนี้…”

 

อีกช่วงหนึ่งของบทสนทนาธรรม

สุทธิชัย : คนไทยทั่วไปรู้สึกว่าศาสนาพุทธเป็นเรื่องที่ต้องเคร่ง ต้องเข้มงวด ต้องจริงจัง แต่ที่หมู่บ้านพลัม หลวงปู่ทำให้คนที่มารู้สึกผ่อนคลาย แนวทางใหม่เป็นอย่างนี้ใช่ไหม?

ติช นัท ฮันห์ : อาตมาแปลพระสูตรเป็นภาษาสมัยใหม่ เช่น เวียดนาม ฝรั่งเศส อิตาเลียน และเยอรมัน

การแปลพระสูตรด้วยภาษาสมัยใหม่ทำให้เราเข้าใจเนื้อหาได้ทันที

เมื่อคนหนุ่มสาวมาที่นี่ พวกเขาสามารถร่วมสวดมนต์ได้เลย เมื่อฟังเทศน์ก็เข้าใจได้ง่าย เพราะคำเทศน์ไม่ได้เต็มไปด้วยคำศัพท์ยากๆ แต่เลือกใช้คำที่คนทั่วไปเข้าใจและเข้าถึง

“อาตมาใช้เวลานานหลายสิบปีในการหาคำพูดสมัยใหม่เพื่อใช้สื่อกับคนหนุ่มสาว

“การใช้ภาษาสมัยใหม่จึงเป็นเรื่องจำเป็น

“การปฏิบัติจึงไม่ใช่แค่เรื่องทำบุญ แต่เป็นการเห็นทุกข์ เห็นเหตุแห่งทุกข์ เห็นทางพ้นทุกข์และการดับทุกข์

“คนที่มาแค่สามสี่วันก็สามารถออกจากทุกข์ได้

“นักบวชควรมีความสามารถที่จะฟังความทุกข์ของคนอื่นแล้วสามารถแนะนำวิธีปฏิบัติตัวที่สามารถดับทุกข์นั้นได้”

สุทธิชัย : พระและภิกษุณีที่นี่สามารถร้องเพลง ยิ้ม หัวเราะและเต้นรำได้ แต่พระที่ประเทศไทยถูกสอนให้ “สำรวม” หลวงปู่คิดว่าเรื่อง “สำรวม” มีความจำเป็นมากเพียงใด?

 

ติช นัท ฮันห์ : ทำไมจะไม่ให้พระหัวเราะกับชาวบ้านล่ะ พระควรเป็นตัวของตัวเอง แต่การยิ้มการหัวเราะนั้นต้องไม่ขัดกับหลักธรรม

ถ้าเราสามารถครองสติได้ในยามยิ้ม หรือหัวเราะ นี่ก็เป็นการเจริญสติอย่างหนึ่ง

เราต้องสื่อสารเป็น เพื่อจะถ่ายทอดความรู้และธรรมะที่มีอยู่ได้เต็มที่

ถ้าสื่อไม่เป็นจะถ่ายทอดออกมาได้อย่างไร

ด้วยเหตุนี้จึงมีความจำเป็นที่จะนำการยิ้มแย้ม และการใช้คำพูดที่ทำให้สื่อสารได้

ถ้าเรารักษาศีล ครองตนด้วยสติ คนอื่นก็จะยอมรับนับถือเราอย่างลึกซึ้ง แม้เราจะหัวเราะ เต้นรำหรือสวดมนต์

การสวดมนต์ก็เป็นการร้องเพลงอย่างหนึ่ง เราร้องแต่เพลงธรรมะ เพลงที่เอื้อต่อการปฏิบัติ เหมือนเพลง

ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก

ฉันเป็นดอกไม้ เป็นหยาดน้ำค้างอันสดชื่น

เพลงเหล่านี้เป็นเพลงที่ประกาศธรรมะ

แล้วทำไมเราจะไม่ร้องล่ะ

เราจึงให้คนฝึกอานาปานสติด้วยการร้องเพลง

สุทธิชัย : พระพุทธเจ้าท่านเคยห้ามพระร้องเพลงไหม?

ติช นัท ฮันห์ : อาตมาคิดว่าไม่ เพราะในสมัยนั้น พระสวดมนต์กันตลอด และมีเสียงดนตรีในขณะสวดด้วย

สุทธิชัย : หลวงปู่ไม่กลัวว่าการร้องเพลงหรือเต้นรำ จะเป็นการลดทอนความศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาพุทธหรือ?

ติช นัท ฮันห์ : ถ้าเป็นการร้องหรือเต้นเพื่อประกาศธรรมะ ก็จะได้ผลตรงกันข้าม คือจะเป็นการสนับสนุนการฝึกสติและสมาธิต่างหาก

สนทนาธรรมกับปรมาจารย์ที่อธิบายคำสอนพระพุทธเจ้าได้อย่างชัดเจนด้วยภาษาง่ายๆ อย่างนี้คือการ “บรรลุธรรม” อีกแบบหนึ่ง

ผมบอกตัวเองว่าอย่างนั้น