2503 สงครามลับ สงครามลาว (62)/บทความพิเศษ พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

บทความพิเศษ

พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

 

2503 สงครามลับ

สงครามลาว (62)

 

ล่องแจ้งคึกคัก

บันทึก “สงครามลาว ยุทธภูมิล่องแจ้ง” ของชาลี คเชนทร์ ต่อ…

“สำหรับทหารเสือพรานไทยได้เพิ่มจำนวนเข้ามาทีละน้อยๆ แต่หน่วยเหนือได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะใช้กำลังพลต้านข้าศึกที่เมืองนี้ให้มากที่สุด ภายในเมืองล่องแจ้งจึงเริ่มคึกคักพลุกพล่านทุกวัน บนลานบินกว้างใกล้กับ ‘เมนแรมป์-Main Ramp’ ด้านเหนือ เครื่องบินซี-130 บินขึ้นลงวันละหลายเที่ยว บางลำบรรทุกกำลังพลจากพื้นที่หนึ่งไปสู่พื้นที่อื่น”

“สำหรับเครื่องเล็ก ซี-47 และซี-123 ต่างใช้ขนถ่ายคนเจ็บคนตายที่มีจำนวนมากส่งกลับส่วนหลัง หากมีจำนวนเล็กน้อยก็ใช้ ฮ.ในการลำเลียง ข่าวแจ้งว่าจำนวนทหารลาวที่บาดเจ็บและตายจากการสู้รบในแต่ละวันนั้นมีจำนวนไม่น้อย และถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาในภาวะสงครามเช่นนั้น”

“แม้ยามใดที่พวกเราได้โดยสารเครื่องบินเหล่านั้นดูเหมือนว่ากลิ่นสาบสางของซากศพที่ตกค้างยังคงหลงเหลืออยู่ นั่นคือสิ่งที่ได้พบเห็นอันเป็นเลือดเนื้อชีวิตที่ได้สัมผัสในภาวะสงคราม”

 

แทนที่ กรมผสม 13

ตามแผนการรบของกองทัพบก กองกำลังทหารประจำการที่จัดกำลังส่วนใหญ่จากกรมผสมที่ 13 จะทยอยถอนกำลังกลับประเทศไทยในช่วงพฤษภาคม-เมษายน พ.ศ.2514 โดยมีกองกำลังทหารเสือพรานซึ่งมีทั้งทหารราบและทหารปืนใหญ่เริ่มเข้าสู่พื้นที่เพื่อรับหน้าที่ต่อตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ.2514 ขณะที่การสู้รบในพื้นที่ทุ่งไหหินยังคงติดพันดุเดือด โดยเฉพาะที่บ้านนาและบริเวณหน้าสกายไลน์

ทหารปืนใหญ่ของกองกำลังทหารพรานที่มาใหม่เริ่มเข้ารับหน้าที่ต่อจากทหารปืนใหญ่เดิมที่จะต้องถอนกำลังกลับโดยจัดวางฐานยิงสนับสนุนกระจายไปทั่วพื้นที่เพื่อให้สามารถยิงสนับสนุนได้อย่างทั่วถึง ขณะที่กองกำลังทหารเสือพรานทั้งหมดก็เริ่มเข้าสู่พื้นที่การรบ เป็นผลให้จำนวนกำลังรบที่เคยเสียเปรียบต่อฝ่ายเวียดนามเหนือเริ่มอยู่ในสัดส่วนที่ดีขึ้น

ภารกิจเร่งด่วนลำดับแรกของกองกำลังทหารเสือพรานผู้มาใหม่คือการรุกโต้ตอบเพื่อขับไล่ทหารเวียดนามเหนือที่ทุ่มเทกำลังกดดันทหารไทยตาม CAMPAIGN 74B มาตั้งแต่ต้นปี พ.ศ.2514 จนประสบความสำเร็จสามารถเข้ายึดแนวสกายไลน์คืนกลับไว้ได้แล้วเป็นบางส่วน

 

มีนาคม-พฤษภาคม 2514

ภารกิจกวาดล้าง

ตาม CAMPAIGN 74B ของฝ่ายเวียดนามเหนือ ขณะที่ส่วนเข้าตีรองกำลังกดดันฐานที่มั่นของไทยที่บ้านนา กองกำลังส่วนเข้าตีหลักได้เคลื่อนพลทะลุแนวป้องกันของฝ่ายเราจนผ่านเข้าเขตถ้ำตำลึงและเนินซีบร้า พร้อมที่จะเข้ายึดสกายไลน์ทั้งหมดเพื่อโจมตีเมืองล่องแจ้งในเวลาอันใกล้

ดังนั้น บก.ฉก.วีพี จึงได้วางแผนตีโต้ตอบผลักดันให้ข้าศึกถอยห่างจากบริเวณสกายไลน์ ซึ่งจะสร้างความปลอดภัยป้องกันเมืองล่องแจ้งให้พ้นรัศมีการยิงอาวุธหนักจากฝ่ายข้าศึกได้

ต้นเดือนมีนาคม กองพันทหารเสือพราน บีซี 603 และบีซี 604 ซึ่งเดินทางจากค่ายฝึกในไทยมาถึงล่องแจ้งได้รับคำสั่งให้ขึ้นยึดที่หมายบริเวณปลายสันเขาสกายไลน์ด้านตะวันออก

ก่อนเข้าโจมตี กองพันทั้งสองได้ขอให้ปืนใหญ่จากฐานยิงไทเกอร์ยิงถล่มที่หมายอย่างหนัก สลับด้วยการโจมตีทางอากาศแบบปูพรมอีกหลายรอบ ต่อจากนั้นจึงได้ยกกำลังเข้าจู่โจมยึดพื้นที่ทันที ทหารเวียดนามเหนือกองพันที่ 4 ที่ 5 และที่ 7 พยายามตีโต้ตอบสุดกำลัง แต่ไม่สามารถรักษาที่มั่นไว้ได้ ในที่สุดจึงยอมเสียพื้นที่ แล้วถอนตัวออกจากบริเวณดังกล่าวไปตั้งมั่นอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของพื้นที่ทุ่งไหหิน กองพันทหารเสือพราน บีซี 603 และบีซี 604 จึงสามารถปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบสำเร็จสมตามความมุ่งหมาย

ในห้วงเวลาเดียวกัน กองพันทหารเสือพราน 605 และ 606 ที่เดินทางติดตามมาก็ได้รับมอบภารกิจเข้าทำการกวาดล้างข้าศึกทางตอนเหนือหน้าแนวสกายไลน์ไกลออกไปจนถึงภูถ้ำแซ กองพันทหารเสือพราน บีซี 605 ได้วางกำลังเข้ายึดเนิน 1612

ส่วนกองพันทหารเสือพราน บีซี 606 มุ่งสู่ซำทอง ทั้งนี้ เพื่อลดแรงกดดันของฝ่ายเวียดนามเหนือต่อที่มั่นทหารไทยที่บ้านนา

 

บีซี 605 และบีซี 606

จากบันทึก “สงครามลาว ยุทธภูมิล่องแจ้ง” ของชาลี คเชนทร์

“การปฏิบัติการรบของทั้งสองกองพันหลังนี้ เป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะต้องเคลื่อนพลด้วยเท้าฝ่าพายุฝนที่กระหน่ำโหมแรง ท่ามกลางอากาศมืดครึ้มทั่วบริเวณทำให้เครื่องบินไม่สามารถทิ้งระเบิดสู่ที่หมายได้ อีกทั้งประสบปัญหาถูกปลิงทากเกาะดูดกินเลือดทหารตลอดเส้นทาง แม้ก่อนหน้านั้นทหารเสือพรานทุกนายได้ผ่านการฝึกอย่างโชกโชนมาแล้ว ครั้นได้มาเผชิญกับความทุกข์ทรมานในการปีนป่ายภูเขาสูง ต้องลัดเลาะสู่หุบเหวลึกที่แสนกันดาร เดินฝ่าพงหนามดงทากท่ามกลางป่าดงดิบเช่นนี้จึงเป็นความโหดสุดทารุณยิ่งกว่าการฝึกที่ผ่านมาหลายเท่า

การเคลื่อนพลเพื่อกวาดล้างข้าศึกดำเนินไปได้อย่างเชื่องช้า ทหารเสือพรานทุกนายต้องใช้ความอดทนเดินป่าอย่างระมัดระวังทุกฝีก้าว ต้องสังเกตทั้งหลุมพรางและกับระเบิด

ทุกนายได้ถูกกำชับให้รักษาวินัยโดยการเดินเว้นระยะห่างตามรูปแบบการเคลื่อนพล ทุกย่างก้าวต้องรู้จักสังเกตสิ่งบอกเหตุและสิ่งเคลื่อนไหวรอบด้าน หากไม่พบเห็นศัตรูหรือเกิดการปะทะในระยะกระชั้นชิดต้องไม่ใช้อาวุธหรือเหนี่ยวไกปืนยิงออกไปให้เกิดเสียงดังเพียงเพื่อสร้างกำลังใจให้แก่ฝ่ายตน หรือเป็นการข่มขวัญตัดไม้ข่มนามเพื่อให้ข้าศึกยำเกรง

เพราะการกระทำเช่นนั้นย่อมเป็นสิ่งแจ้งเหตุให้ข้าศึกรู้ถึงที่ตั้งและการเคลื่อนไหวของฝ่ายเราจนต้องตกเป็นเป้าถูกถล่มถึงขั้นละลายทั้งกองพันก็เป็นได้

บนพื้นที่อันตรายทุกตารางเมตร ข้าศึกอาจวางกำลังหน่วยซุ่มยิงอยู่ในพื้นที่ได้เปรียบ ซึ่งมักใช้เนินสูงข่ม บริเวณหลืบช่องเขา หุบเหว และชะง่อนผาอันเป็นช่องทางบังคับให้ฝ่ายเราเคลื่อนพลเข้าสู่ทิศทางปืน

จึงเป็นหน้าที่ของผู้นำหน่วยและกำลังพลทุกนายจะต้องระมัดระวังในการวิเคราะห์จุดสงสัยและลักษณะภูมิประเทศด้วยความรอบคอบ

ตลอดเส้นทางสู่ที่หมาย ข้าศึกได้วางกับระเบิดแบบแสวงเครื่องไว้เป็นระยะๆ ตามจุดที่ฝ่ายเราคาดไม่ถึง ส่วนใหญ่ได้วางไว้ในพงหญ้านอกเส้นทาง หรือห่างจากขอนไม้ที่เหมาะกับระยะย่างก้าวข้ามไปโดยฝ่ายข้าศึกต่างรู้ถึงที่ตั้งของกับระเบิดเหล่านั้นได้อย่างแม่นยำ

เมื่อฝ่ายเราต้องใช้วิธีพรางตัวคืบคลานด้วยการเฝ้าระวังอย่างที่สุด จึงทำให้ภารกิจการกวาดล้างล่าช้า ใช้เวลาข้ามวันข้ามคืนแม้ระยะทางในแผนที่ระบุไว้เพียงไม่กี่กิโลเมตรก็ตาม

บนเส้นทางเหล่านั้น กองพันทหารเสือพราน บีซี 605 และบีซี 606 ได้พบหลุมพรางและบังเกอร์เก่าๆ ของฝ่ายข้าศึกเป็นจำนวนมากในหลายพื้นที่ รวมทั้งลูกจรวดด้านที่มีน้ำหนักนับพันปอนด์ของเครื่องบินเจ็ตตลอดเส้นทาง

ผู้นำหน่วยจึงสั่งให้ทำลายด้วยการฝังกลบหรือวางกับระเบิดดักไว้เพื่อขัดขวางไม่ให้ข้าศึกใช้เป็นประโยชน์ได้ต่อไปอีก

 

การออกกวาดล้างพื้นที่ของทั้งสองกองพันในครั้งนี้ได้รับความสำเร็จดียิ่ง ไม่เกิดการปะทะและสูญเสียกำลังพลของทั้งสองฝ่ายแต่อย่างใด ดังนั้น ฝ่ายเราจึงสามารถยึดครองพื้นที่บนเนิน 1737, 1664 และ 1589 ทางตอนเหนือสันเขาสกายไลน์ไว้ได้ทั้งหมด

แต่ทั้งสองกองพัน บีซี 605 และบีซี 606 จะไม่ได้ตั้งฐานอยู่บนเนินดังกล่าวนานเท่าใดนัก เพราะได้รับคำสั่งให้ทำการกวาดล้างย้อนรอยเดิมจากภูถ้ำแซกลับเข้าสู่แนวสกายไลน์อีกครั้งหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม ฝ่ายข้าศึกได้สะกดรอยตามเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของฝ่ายเราอยู่ไม่ขาดระยะ

ซึ่งในบางครั้งหากหลบเลี่ยงไม่ได้ก็ได้เกิดการปะทะกัน แต่ก็ปรากฏขึ้นเพียงประปราย

เมื่อข้าศึกได้รับการกดดันในทางรุกจากฝ่ายเรามากขึ้น จึงได้ถอนตัวจากแนวหน้าหน้าแนวสกายไลน์ทั้งหมด

ส่งผลให้พื้นที่หน้าแนวสกายไลน์ โดยเฉพาะล่องแจ้งปลอดทั้งจากกำลังของข้าศึกและการยิงอาวุธหนักอย่างสิ้นเชิง”