สิว ต้นตอของความไม่มั่นใจของคนทุกวัย ทำอย่างไรถึงหายขาด?

สิว ปัญหากวนใจของใครหลาย ๆ คนซึ่งอาจส่งผลให้ความมั่นใจถูกลดทอนได้ ทั้งสิวเสี้ยน สิวผด หรือสิวประจำเดือน และสิวบางประเภทนอกจากจะเกิดการอักเสบแล้ว ยังมีการทิ้งรอยสิวเอาไว้ให้หงุดหงิดใจเล่น ๆ อีกด้วย หรือหากจะแกะสิวแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ก็อาจเสี่ยงทำให้เกิดหลุมสิวได้อีก แล้วแบบนี้จะมีวิธีรักษาสิวยังไงที่จะช่วยลดสิว และลดโอกาสการเกิดสิวใหม่จนค่อย ๆ หายไปจากใบหน้าบ้าง?

 

ในบทความนี้จะพาทุกคนทำความเข้าใจกับเรื่องสิว ไม่ว่าจะประเภทของสิว สาเหตุการเกิดสิว จนไปถึงวิธีรักษาสิวอย่างถูกต้อง หากอยากรู้แล้วว่ามีวิธีอะไรบ้าง มาเตรียมตัวรับมือกับสิวกันเลย!

สิว คืออะไร มีกี่ประเภท

สิว เกิดจากภาวะการอักเสบของรูขุมขนที่อุดตันจากเซลล์ผิวที่ตายแล้วภายในต่อมไขมัน และการอุดตันของน้ำมันบนชั้นผิว ส่งผลให้เกิดเป็นตุ่มนูนเล็ก ๆ ในบางประเภทอาจเกิดการอักเสบ เป็นตุ่มแดงได้ ซึ่งประเภทของสิวนั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ และแต่ละประเภทนั้นยังสามารถแบ่งได้แยกย่อยไปอีกด้วย ดังนี้

สิวอุดตัน 

เกิดจากการอุดตันของรูขุมขุน เรียกว่า คอมีโดน (Comedone) สิวประเภทนี้จะไม่เกิดการอักเสบ จะเป็นเพียงตุ่มนูน หรือในบางคนมีแค่หัวสิวขึ้นมาบนผิวหน้าเท่านั้น สิวอุดตันนั้นแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่

  1. สิวอุดตันหัวปิด (Whiteheads)

สิวอุดตันหัวปิด หรือ สิวหัวขาว สิวชนิดนี้เกิดจากซีบัม (Sebum) รวมกับแบคทีเรียและเคราตินเป็นถุงซีสต์ อุดตันอยู่ภายในรูขุมขน ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษา ถุงซีสต์จะมีขนาดใหญ่ขึ้นจนผนังรูขุมขนแตกออกเข้าสู่บริเวณผิวหนัง ส่งผลให้เกิดการอักเสบ และเป็นสาเหตุของสิวอักเสบนั่นเอง

  1. สิวอุดตันหัวเปิด (Blackheads)

สิวอุดตันหัวเปิด หรือสิวหัวดำ เกิดจากการอุดตันของเคราตินและไขมันเป็นสิวเม็ดเล็ก ๆ อยู่บนผิว โดยปกติแล้วหัวสิวชนิดนี้จะเป็นสีออกเหลือง แต่เมื่อมีการทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ ส่งผลให้หัวสิวเปลี่ยนสีเป็นสีดำ

สิวอักเสบ 

เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียบริเวณรูขุมขน และการอักเสบของสิวหัวขา แบ่งออกเป็น 3 ชนิดตามลักษณะ ดังนี้

  1. สิวหัวหนอง (Pustule)

สิวหัวหนอง เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่อุดตันภายในรูขุมขน หรืออาจเกิดจากการอักเสบของสิวหัวขาวที่มีการสัมผัสบ่อยครั้ง เช่น การบีบสิวอย่างไม่ถูกต้อง ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อจนมีหนองก่อตัวภายใต้ผิวหนัง โดยลักษณะของสิวหัวหนอง คือจะเป็นตุ่มแดงที่มีของเหลวอยู่ตรงกลาง

  1. สิวตุ่มแดง (Papule)

สิวตุ่มแดง มีลักษณะเป็นตุ่มแดง ๆ หากสัมผัสจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อย หรือมีอาการคันบริเวณหัวสิว เกิดได้จากทั้งการติดเชื้อแบคทีเรีย และการอักเสบของสิวหัวขาว นอกจากนี้ หากบีบสิวชนิดนี้อาจทำให้เกิดการติดเชื้อที่จะส่งผลต่อการเกิดหนองภายใต้ชั้นผิวหนังได้เช่นกัน

  1. สิวหัวช้าง (Nodule)

สิวหัวช้าง หรือสิวตุ่มแดงขนาดใหญ่ เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียอย่างรุนแรง จนเข้าไปภายใต้ชั้นผิวหนังมากขึ้น ลักษณะจะเป็นตุ่มแข็งขนาดใหญ่ อาจมีหัวสิวหรือเป็นสิวอักเสบไม่มีหัวก็ได้

นอกจากนี้ ยังมีสิวเทียมอีกหนึ่งประเภทซึ่งถือว่าเป็นโรคทางผิวหนัง เรียกว่า สิวสเตียรอยด์ ซึ่งเกิดจากอาการแพ้สารสเตียรอยด์จากครีมที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือการใช้สารสเตียรอยด์เป็นระยะเวลานานจนเกิดอาการอักเสบของผิว และมีลักษณะอาการคล้ายกับสิวอักเสบนั่นเอง

 

สาเหตุที่ทำให้เกิดสิว และปัจจัยที่ทำให้เกิดสิว

หน้าเป็นสิว

 

สาเหตุที่ทำให้เกิดสิวนั้น อาจเกิดได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นฮอร์โมน, การอุดตันของไขมัน หรือการอักเสบภายใต้ชั้นผิว โดยรายละเอียดปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวขึ้น มีดังนี้

 

  • น้ำมัน (Sebum) : ภายในชั้นผิวหนังจะมีการผลิตต่อมไขมันเพื่อปกป้องผิวหนังชั้นล่าง ซึ่งอาจจะเกิดการอุดตันที่รูขุมขน จนส่งผลทำให้เกิดเป็นสิวได้
  • ฮอร์โมน (Hormones) : การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgen) ในวัยรุ่น ก็ส่งผลทำให้เกิดสิวได้เช่นกัน โดยฮอร์โมนชนิดนี้จะกระตุ้นการสร้างไขมันของต่อมไขมัน รวมถึงกระตุ้นให้มีขนาดใหญ่ขึ้น และเมื่อมีการอุดตันภายในรูขุมขน และพบกับเชื้อแบคทีเรีย รวมถึงเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ก็จะทำให้เกิดสิว ในบางคนอาจเรียกว่าสิวฮอร์โมนนั่นเอง
  • การผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว (Dead Skin Cells) : สิวเกิดได้จากการผลัดเซลล์ผิวในรูขุมขนสะสมจนเกิดการอุดตัน ร่วมกับการอุดตันของไขมันและเชื้อแบคทีเรีย
  • แบคทีเรีย (Bacteria) : เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่สะสมกับการสะสมของเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และไขมันอุดตัน

 

นอกจากนี้แล้ว ความเครียดก็อาจส่งผลให้เกิดการกระตุ้นฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) หรือเร่งการทำงานของต่อมไขมัน จนส่งผลให้เกิดสิวได้เช่นกัน

 

สิวแบบไหนควรพบแพทย์ก่อนใช้ยาหรือเวชภัณฑ์

หากเป็นสิวอักเสบ ควรที่จะไปพบแพทย์ ไม่ควรทำการรักษาด้วยตนเอง เนื่องจากหากใช้เวชภัณฑ์ไม่ถูกต้องโดยไม่ผ่านการแนะนำจากแพทย์ หรือมีการสัมผัสบริเวณที่เป็นสิวมากเกินไป อาจทำให้สิวเกิดการอักเสบอย่างรุนแรงขึ้น จนส่งผลให้มีการติดเชื้อที่ลงลึกสู่ชั้นผิวหนังมากกว่าเดิม และเกิดเป็นรอยดำหรือรอยแดงจากสิว ซึ่งใช้เวลานานในการรักษาลดรอยสิว

 

วิธีรักษาสิว สามารถรักษาด้วยวิธีใดได้บ้าง

การรักษาสิวอุดตัน หรือรักษาสิวอักเสบมีหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการใช้ยาภายนอก หรือการกดสิว แต่ก่อนที่จะใช้ผลิตภัณฑ์หรือเข้ารับการรักษาใด ๆ ก็ตาม ควรผ่านคำแนะนำจากแพทย์ก่อนเสมอ โดยการรักษาสิว มีรายละเอียดดังนี้

การรักษาด้วยยา

การรักษาด้วยยานั้น มีทั้งยาชนิดรับประทาน และยาสำหรับใช้ภายนอก หรือยาทานั่นเอง ซึ่งยาชนิดรับประทานนั้นส่วนใหญ่จะเป็นยาปฏิชีวนะ ที่จำเป็นต้องรับประทานให้ครบโดส เพื่อไม่ให้เกิดการดื้อยา

ตัวอย่างยารักษาสิวชนิดรับประทาน ได้แก่ ยา Isotretinoin ยาชนิดนี้จะทำงานในการรักษาสิวโดยการลดการอักเสบ, ยับยั้งการผลิตน้ำมันของต่อมไขมัน, ปรับการผลัดเซลล์ผิวให้เป็นปกติ และลดแบคทีเรียทางอ้อม

การเลเซอร์สิว

การเลเซอร์สิว เป็นวิธีการรักษาที่รวดเร็ว เร่งการยุบของสิว ลดรอยดำและรอยแดง ผลข้างเคียงน้อย นอกจากนี้แล้ว การเลเซอร์จะสามารถช่วยลดการอักเสบของสิว ที่จะส่งผลให้โอกาสการเกิดรอยดำ รอยแดง และรอยแผลเป็นจากสิวลดลง

การกดสิว

การรักษาสิวด้วยการกดสิว นิยมกับการรักษาสิวหัวเปิด (Blackheads) เป็นวิธีการรักษาแบบเบื้องต้นที่รวดเร็ว แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาการเกิดสิวในชั้นผิวหนังได้ จึงเป็นการรักษาเพื่อความสวยงามเท่านั้น

สรุปเกี่ยวกับสิว ปัญหาสุดกวนใจที่รักษาได้กับ SkinX

สิว เกิดขึ้นจากการอุดตันของเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ไขมัน และแบคทีเรียภายในรูขุมขน ส่งผลให้เกิดเป็นตุ่มนูนออกมาบริเวณผิวหนัง กลายเป็นสิวอุดตัน และหากมีการติดเชื้อ ก็จะส่งผลทำให้สิวอุดตันนั้นเกิดการอักเสบจนกลายเป็นสิวอักเสบได้ โดยมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของฮอร์โมน, การผลัดเซลล์ผิว, การทำงานของต่อมไขมัน จนไปถึงความเครียด

 

การรักษาสิว ไม่ว่าจะรักษาสิวอุดตัน หรือสิวอักเสบ ควรที่จะได้รับการปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ยา หรือเวชภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อไม่ให้การติดเชื้อลุกลามจนเกิดการอักเสบของสิวในระดับรุนแรง ซึ่งสามารถขอรับคำปรึกษาจากแพทย์ผิวหนังโดยตรงได้ผ่านแอป SkinX ไม่ต้องเดินทางไปคลินิก, ปลอดภัย, สะดวก และรวดเร็ว ดาวน์โหลดแอป SkinX และปรึกษากับแพทย์ผิวหนังเคสต่อเคสได้ทุกแพลตฟอร์ม