ในประเทศ/สวนนงนุชเสริมภูเขา ปรับฮวงจุ้ย เสริมดวง เชื่อ ปี “67 ทำเนียบฯ จะกลับมายิ่งใหญ่

ในประเทศ

สวนนงนุชเสริมภูเขา ปรับฮวงจุ้ย เสริมดวง

เชื่อ ปี “67 ทำเนียบฯ จะกลับมายิ่งใหญ่

การปรับปรุงครั้งใหญ่ของทำเนียบรัฐบาล อย่างอาคารเรือนรับรองหลังใหม่ของรัฐบาล “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่สั่งการให้สร้างขึ้นตามสถาปัตยกรรมแบบตึกไทยคู่ฟ้า ใกล้ส่งมอบเพื่อใช้งานแล้ว

ขณะนี้เหลือเพียงการเก็บงานในรายละเอียดเล็กน้อย พร้อมกับปรับภูมิทัศน์ตามฮวงจุ้ย คาดว่าจะเปิดใช้อย่างเป็นทางการในปลายเดือนสิงหาคมนี้

อาคารรับรองหลังดังกล่าวใช้งบประมาณก่อสร้างทั้งสิ้น 137,371,700 บาท เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นครึ่งหนึ่งของงบประมาณที่รัฐบาล คสช. ใช้ไปกับการปรับภูมิทัศน์ ที่หมดไปแล้วกว่า 300 ล้านบาท

ภูมิทัศน์โดยรอบทำเนียบรัฐบาลได้รับการปรับปรุงทั้งเล็กๆ น้อยๆ และปรับปรุงใหญ่มาโดยตลอดทุกรัฐบาล โดยปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ แก้ฮวงจุ้ย แก้เคล็ดของผู้นำในขณะนั้นๆ

การปรับเปลี่ยนฮวงจุ้ยทำเนียบรัฐบาลครั้งนี้ก็เช่นกัน นอกจากจะเป็นการปรับปรุงซ่อมเเซมของเดิมให้ดีขึ้นแล้ว

ยังถือเป็นการก่อสร้างอาคารขึ้นใหม่ในรอบ 20 ปี ของทำเนียบรัฐบาล เพื่อหวังลดปัญหาและอุปสรรคในการทำงานให้ราบรื่นขึ้น

หากย้อนไทม์ไลน์การปรับปรุงทำเนียบรัฐบาล แทบจะเรียกได้ว่าเป็นธรรมเนียมที่เกิดขึ้นตลอด โดยการปรับฮวงจุ้ยนั้นเริ่มมาตั้งแต่สมัยรัฐบาล บรรหาร ศิลปอาชา มีการนำของขลังเข้ามาวางในตึกไทยคู่ฟ้า

ส่วนการปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรอบทำเนียบรัฐบาลนั้น เริ่มต้นในรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร โดยปรับรั้วจากเดิมที่เป็นแบบทึบให้เป็นแบบโปร่ง และได้ย้ายศาลพระภูมิวางในจุดใหม่เนื่องจากเห็นว่าไม่เหมาะสม ซึ่งมีข้อสังเกตและนำไปเชื่อมโยงกับชีวิตของอดีตผู้นำ ว่า หลังการปรับย้ายครั้งนั้น อำนาจของรัฐบาลทักษิณค่อยๆ ตกต่ำลง และในที่สุดก็ต้องพ้นจากตึกไทยคู่ฟ้าจากการถูกรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549

หรือในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่นายกฯ มาร์ค ต้องเข้ามาสักการะท้าวมหาพรหมบนตึกไทยคู่ฟ้าในช่วงกลางคืน และกำหนดประตูเข้าออกเป็นประตูข้างแทน

ก็ไม่รู้ว่าดวงของผู้นำจะเชื่อมโยงกับสถานที่ทำงานแค่ไหน แต่ในรัฐบาล “บิ๊กตู่” นั้นเริ่มปรับปรุงอาคารตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2557 หลังการยึดอำนาจรัฐประหารเพียง 3 เดือน ซึ่งก่อนหน้านั้นทำเนียบรัฐบาลถูกยึดอยู่ภายใต้มวลมหาประชาชน กปปส. ของ ลุงกำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ

การปรับปรุงครั้งนั้น เริ่มจากตึกไทยคู่ฟ้า ซึ่งเป็นอาคารทำงานของนายกรัฐมนตรี ใช้เพียงแรงดันน้ำฉีดคราบสกปรกที่เกาะตามผนังปูนออก แต่ไม่ได้ทาสีใหม่ เพราะต้องการคงสีเดิมไว้ให้มากที่สุด

ถัดมาคือห้องแถลงข่าวของรัฐบาล หรือ “อาคารนารีสโมสร” มีการปรับปรุงครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ โดยทาสีใหม่ทั้งหมด เปลี่ยนฝ้าเพดาน เปลี่ยนเครื่องปรับอากาศทั้งหมด

นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงอาคารอื่นๆ เช่น ตึกสันติไมตรี ไม่เว้นแม้กระทั่งห้องผู้สื่อข่าว หรือ “รังนกกระจอก” ซึ่งมีอยู่ 3 ห้อง โดย 2 ห้องมีปรับปรุงใหม่หมด ไม่ว่าจะเป็นพื้น ฝ้า ไฟ แอร์ กระจก หลังคา รวมถึงทัศนียภาพภายนอก เช่น ต้นไม้ ม้านั่งหินอ่อน เป็นต้น

ส่วนรังนกกระจอกเก่านั้น เน้นปรับแค่ภายนอก โดยทำหลังคาครอบห้องเก่าให้เชิงชายคายื่นยาวออกมาเพื่อกันแดด

การปรับภูมิทัศน์ของรัฐบาล คสช. ดูรวมๆ แล้ว จะเป็นไปตามวิธีคิดและทรรศนะแบบทหาร ที่เมื่อเห็นอะไรไม่เข้าตา ก็จะสั่งการปรับปรุงแก้ไข เหมือนอย่างตึกสำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (เก่า) ที่ทุบทิ้งทำใหม่ทั้งหมด แต่ก็ยังไม่แล้วเสร็จสักที ตึกสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีที่เพิ่มลวดลายอาคารเข้าไป

รวมไปถึงตึกบัญชาการ 1 และ 2 ซึ่งเป็นห้องทำงานของรองนายกรัฐมนตรีทุกคน และห้องของรัฐมนตรีประจำสำนัก ที่ได้ปรับปรุงให้ทันสมัยขึ้น ติดกระจกให้แสงส่องทั่วถึง

แต่เมื่อมีคำสั่งติงมาว่า เป็นตึกที่ไม่อิงสถาปัตยกรรมเหมือนอาคารอื่นๆ อย่างตึกไทยคู่ฟ้าและตึกสันติไมตรี รัฐบาล คสช. จึงมีโครงการตกแต่งตึกบัญชาการ 1-2 อีกครั้ง คราวนี้ควบคุมการก่อสร้างโดยกรมศิลปากร ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 31,220,000 บาท โดยมีบริษัท กันต์กนิษฐ์ ก่อสร้าง จำกัด เป็นผู้รับเหมา

เดิมทีมีระยะเวลาก่อสร้างตั้งแต่เดือนมีนาคม 2559 ถึงวันที่ 21 มกราคม 2560 แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่แล้วเสร็จ เพราะต้องทำโครงเหล็กเสริมครอบด้านหน้าของตึก ซึ่งจะปิดทึบบังตัวอาคารเก่าทั้งหมด เพื่อให้ตึกบัญชาการ 1 และ 2 เป็นสถาปัตยกรรมโบราณเหมือนอาคารอื่นๆ โดยรอบ

ท่ามกลางการตั้งคำถามถึงความจำเป็น เนื่องจากวัตถุประสงค์แรกเริ่มไม่ได้ต้องการให้ตึกบัญชาการเป็นสถาปัตยกรรมโบราณ แต่ให้เหมาะแก่การใช้งาน

ขณะที่การสร้างอาคารเรือนรับรองหลังใหม่ ที่ยังไม่วายมีเรื่องให้ปวดหัวตลอดเวลา ทั้งความล่าช้า และเหตุการณ์เครนล้มทับรถ คนงานบาดเจ็บในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ก็ถูกตั้งคำถามถึงความจำเป็นและความคุ้มค่ากับงบประมาณที่ลงทุนไปถึง 137 ล้านบาทเช่นกัน โดย พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ให้เหตุผลในการก่อสร้างว่า เพื่อรองรับแขกสำคัญจากต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นหน้าตาของประเทศด้วย

เช่นเดียวกับนายกฯ “บิ๊กตู่” ที่ให้เหตุผลว่านอกจากจะใช้รับรองแขกบ้านแขกเมืองแล้ว ในวันหน้าทำเนียบรัฐบาลก็อาจจะใช้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้บ้าง ให้เด็กนักเรียนมาชมทุกสัปดาห์ เป็นการพัฒนาโดยไม่ลืมสิ่งที่เป็นประวัติศาสตร์

แต่ถึงอย่างไร เมื่อมีแขกมาเยือน โดยปกตินายกรัฐมนตรีก็จะใช้ตึกไทยคู่ฟ้า ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของทำเนียบฯ ให้การต้อนรับ และจัดงานเลี้ยงต้อนรับที่ตึกสันติไมตรี ซึ่งอัตราเฉลี่ยการใช้งานไม่เกิน 3 วัน ยังไม่นับการออกกำลังกาย ขณะที่อาคารอื่นๆ อย่างตึกบัญชาการ ตึกนารีสโมสร ก็ใช้เป็นสถานที่รับรองแขกผู้มาเยือนด้วยเช่นกัน

อีกประการสำคัญคือ ทำเลที่ตั้งของอาคารเรือนรับรองหลังใหม่ตั้งอยู่หลังตึกไทยคู่ฟ้า ย่อมทำให้ถูกบดบังดูแล้วไม่เหมาะสมเท่าไหร่

จึงได้ให้ “สวนนงนุช” เข้ามาจัดเรียงต้นไม้เพื่อเป็นการแก้ฮวงจุ้ย

ตามที่ นายกัมพล ตันสัจจา เจ้าของสวนนงนุช บอกว่า การตกแต่งสวนโดยรอบอาคารเรือนรับรองทั้งหมด เน้นการปรับฮวงจุ้ย เนื่องจากโดยรอบทำเนียบรัฐบาลถูกล้อมรอบด้วยน้ำ เหมือนเวนิส แต่ไม่มีภูเขา จึงได้นำเอาต้นไม้ที่มีความสูงแตกต่างกัน มาจัดในลักษณะเหมือนภูเขา ตามหลักการปลูกบ้าน พร้อมให้คอนเซ็ปต์การตกแต่งสวนเป็นแบบผสมผสานไทย-อิตาเลียน พอเพียงและเรียบง่าย

นอกจากนี้ ยังวางต้นไม้พันธุ์ต่างๆ อาทิ ต้นพวงทอง ต้นประยงค์ ชาฮกเกี้ยน แก้ว ต้นสนสไตล์เวนิส เพื่อความร่มรื่นและง่ายต่อการดูแลรักษา

อย่างไรก็ตาม การปรับภูมิทัศน์เพื่อเสริมดวง เสริมบารมีที่เห็นได้ชัดสุดในรัฐบาล คสช. เห็นจะเป็นเมื่อครั้งที่มีการนำอ่างบัวและบัวสีมาประดับกว่า 10 อ่าง เพื่อเสริมสิริมงคล ความร่มเย็นของผู้นำประเทศ

ตามความเชื่อว่า สายใยจะนำมาซึ่งความสัมพันธ์รักใคร่ปรองดองของทุกคน จึงนำมาประดับในทางที่นายกรัฐมนตรีเดินผ่าน ขณะที่ตามตำราพิชัยสงครามรูปทรงดอกบัวก็ถือเป็นการจัดวางทัพแบบหนึ่ง ส่วนความเชื่อของอียิปต์โบราณนั้น ดอกบัวเป็นตัวแทนของการเกิดใหม่ ความตาย และการผนึกรวม

แต่เปลี่ยนอ่างบัว นำพันธุ์บัวมาลงได้ไม่กี่วัน ก็เกิดรูรั่วจนคนลือไปต่างๆ นานาว่าจะกระทบดวงการทำงาน คสช. จน พล.อ.ประยุทธ์ ต้องออกมาย้ำอย่างหนักแน่นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวกับดวง เพราะคนจะดีหรือไม่ดีอยู่ที่การกระทำ

“ผมไม่จำเป็นต้องดูเรื่องฮวงจุ้ย แต่อยู่ที่การทำงาน วางอะไรก็แล้วแต่ ถ้าทุจริตผมก็ช่วยอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ถ้าไม่ตั้งใจทำงาน สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีอยู่ หากชำรุดก็ให้เขาซ่อมชดใช้ อย่าไปมองเรื่องเล็กน้อย”

ภูเขาที่เสริมมาในรอบนี้ จะปรับสมดุลที่ทำงานให้รัฐบาล คสช. ตามหลักฮวงจุ้ยได้ดีแค่ไหน หรือจะต้องรอให้ถึงปี 2567 อย่างที่ซินแสท่านหนึ่งบอกไว้ ว่าดวงของทำเนียบรัฐบาลจะดีทุกๆ 20 ปี แต่ถึงอย่างไรความเชื่อที่ว่าการปรับเสริมเติมแต่งฮวงจุ้ยจะยังมีต่อไปเรื่อยๆ ในทุกรัฐบาล เพื่อเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวทางใจว่าจะทำให้การทำงานของรัฐบาลลุล่วงด้วยดี

หากสถานการณ์ข้างหน้าเกิดอุปสรรค ติดขัด เกิดขึ้นกับผู้นำและรัฐบาล เชื่อว่าคงจะเห็นการปรับฮวงจุ้ยในทำเนียบรัฐบาลอีกเป็นแน่แท้

และแม้จะเป็นรัฐบาล คสช. แต่เมื่อผู้นำย้ำชัดว่าแค่ทำตัวให้เป็นคนดี อยู่ในศีลธรรมอันดี ทำงานเพื่อประเทศชาติ ช่วยกันไม่โกงกิน ไม่ทุจริต มันก็อยู่ได้ หมอดูเขาบอกไว้แล้ว

โหราศาสตร์ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ หากมีปัญหา ฮวงจุ้ยก็ยังต้องปรับกันต่อไป