เมื่อลงมือฆ่า-สงครามยิ่งขยาย/ชกคาดเชือก วงค์ ตาวัน

ชกคาดเชือก

วงค์ ตาวัน

 

เมื่อลงมือฆ่า-สงครามยิ่งขยาย

 

มักมีคำถามว่า ในภาพบันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์อำมหิตของการเมืองไทย ท่ามกลางไทยมุงที่ล้อมวงดูการทำทารุณศพ เอาเก้าอี้ฟาดใส่ร่างที่ถูกแขวนคอกับต้นมะขามสนามหลวงเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 โดยหนึ่งในนั้นเป็นเด็กชาย กำลังยืนมองพร้อมกับยิ้มกว้าง

ทั้งอยากรู้ว่าชายที่เอาเก้าอี้ฟาดศพคนนั้นคือใคร และเด็กชายที่ยืนยิ้มนั้นเป็นใคร

เด็กชายมองดูเก้าอี้ฟาดศพ 6 ตุลาฯ จึงกลายเป็นภาพสะท้อนเชิงเปรียบเทียบว่า คงโตมาเป็นสมาชิกวุฒิสภารายนั้น ที่มีทัศนคติขวาจัดสุดกู่ หรือโตมาเป็นนักวิชาการบางคน ที่ปรารถนาจะให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นอีก

ความจริงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ผ่านมา 45 ปี ไม่ได้ยาวนานเกินไป ศึกษาค้นคว้าข้อเท็จจริงได้ไม่ยาก

สำคัญที่สุด ข้อเท็จจริงบ่งบอกว่า หลังเหตุการณ์ปราบปรามกวาดล้างขบวนการนักศึกษาในวันดังกล่าวแล้ว ได้ทำให้การต่อสู้ของนักศึกษา-ประชาชนสงบเงียบไปทันตาจริงหรือไม่

คำตอบคือ ไม่จริง!!

เพราะเป็นผลให้คนแห่เข้าป่าหลายพันคนจนอาจจะถึงหมื่น เพื่อไปร่วมจับปืน เปลี่ยนแนวทางต่อสู้จากสันติวิธีในเมือง เป็นร่วมสงครามในป่า

ส่งผลให้สงครามของฝ่ายป่าขยายตัวไปอย่างกว้างขวาง รุกมาจนถึงอำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี มาจนถึงอำเภอปากท่อ ราชบุรี

เหลืออีกแค่ร้อยสองร้อยกิโลเมตรก็จะมาถึง กทม.แล้ว

จนกระทั่งนายทหารมันสมองในกองทัพยุคนั้น ศึกษาการเติบโตของคอมมิวนิสต์อย่างเชี่ยวชาญ จนได้ข้อสรุปว่า สงครามที่เกี่ยวข้องกับความคิดอุดมการณ์นั้น ยิ่งปราบอีกฝ่ายยิ่งโต

สงครามประชาชน มีแต่จะทำให้มีผู้คนเข้าร่วมต่อสู้กับรัฐ

สุดท้ายจึงเกิดแนวทางการเมืองนำการทหาร โดยสรุปบทเรียนความผิดพลาดของรัฐเอง ที่ใช้สงครามเข้าจัดการปัญหา ยิ่งทำให้คอมมิวนิสต์เติบใหญ่ขยายตัว

ประกอบเข้ากับเป็นจังหวะที่โลกคอมมิวนิสต์กำลังระส่ำระสาย แตกแยกเป็น 2 แนวทาง

เมื่อคำสั่งที่ 66/2523 นำออกมาใช้ โดยสาระคือ การพูดคุยเจรจายุติสงคราม ยอมเปิดโอกาสให้คนออกจากป่ากลับมาต่อสู้แนวสันติในเมืองได้โดยไม่ถือว่ามีคดีอาญาติดตัว ลงเอยสงครามจึงสงบ

สงครามที่เริ่มต้นจากอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ในปี 2508 และขยายตัวเมื่อนักเรียน นักศึกษา ประชาชนโดนปราบโหดในวันที่ 6 ตุลาคม 2519

ผลักให้คนที่สู้ด้วยสันติ หมดหนทางสู้ด้วยวิถีปกติ ต้องไปเลือกหนทางสงคราม ความรุนแรงในสังคมไทยยิ่งบานปลาย

อุตส่าห์คิด 66/23 เพื่อหยุดสงคราม เพราะยอมรับแล้วว่า คนคิดต่างไม่ได้ยอมยุติการต่อสู้ ด้วยการถูกปราบปรามจับกุมคุมขัง

มีสติศึกษาประวัติศาสตร์ 6 ตุลาฯ จะรู้ว่ายิ่งทำให้สังคมไทยไปสู่การแตกหักมากขึ้น!

 

ความจริงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ผ่านมา 45 ปี ไม่ได้ยาวนานเกินไป ศึกษาหาความรู้ ใช้สติไตร่ตรองสักหน่อยจะรู้ดีว่า ถ้าคิดจะทำแบบนั้นอีก จะยิ่งเกิดอะไรตามมา และที่แน่ๆ คนถูกปราบ ไม่มีทางสยบยอม จะต้องหาหนทางอื่นเพื่อต่อสู้ต่อไป

แล้วถ้าไปเลือกหนทางใช้ความรุนแรง คราวนี้มีแต่ความสูญเสียเกิดขึ้นตามมา

คงมีแต่คนขาดสติ ไม่มีความรอบรู้ประวัติศาสตร์ดีพอ ที่เพ้ออยากให้เกิด 6 ตุลาฯ อีกในสังคมไทย

โดยเฉพาะที่บอกว่าทำแบบ 6 ตุลาฯ แล้วคนคิดต่างจะโดนปราบปรามจนสูญหายไป นั่นคือเครื่องบ่งบอกว่า ไม่หาข้อมูลให้รอบคอบรอบด้าน

เข้าใจว่าสถานการณ์ในวันนี้ เป็นช่วงเวลาที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังเป็นช่วงขาลงอย่างดำดิ่ง เพราะไม่สามารถรับมือกับโควิดระลอก 3 ได้ดีพอ

ผิดพลาดชัดเจนในการจัดหาวัคซีน วางแผนจะเริ่มฉีดจริงจังในเดือนมิถุนายน จนทำให้ระลอก 3 เริ่มต้นในตอนต้นปี คราวนี้ไปกันใหญ่ คนติดเชื้อพุ่งเพิ่มอย่างน่าตกใจ คนตายเพิ่มอย่างน่ากลัว เตียงโรงพยาบาลไม่พอ ยาต้านไวรัสก็ต้องสั่งเพิ่มอย่างฉุกละหุกเพราะไม่เพียงพอ

เทียบกับหลายประเทศ เราล่าช้าในเรื่องวัคซีนอย่างชัดแจ้ง

สภาพรัฐบาลจึงตกอยู่กลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์แทบจมธรณี

ถูกขุดย้อนไปถึงการเข้ามาเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 ด้วยการรัฐประหาร แล้วยังพยายามรักษาอำนาจมายาวนานจนถึง 7 ปีแล้ว ทั้งที่ควรเป็นแค่รัฐบาลเฉพาะกิจเฉพาะกาล กลับยังอยู่ต่อเนื่องไม่สิ้นสุด

ทั้งที่พื้นฐานคือรัฐบาลทหาร ไม่ใช่รัฐบาลที่เก่งกาจด้านงานสาธารณสุข ยิ่งด้านการประคองเศรษฐกิจหรือฟื้นเศรษฐกิจที่วิกฤตหนัก ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย

อารมณ์ความรู้สึกของประชาชนเวลานี้คือ เรามีรัฐบาลที่เหมาะแค่ช่วงปฏิวัติ แต่ไม่ใช่ช่วงวิกฤตหนักแบบนี้

ความไม่พอใจต่อรัฐบาล กำลังลุกลามไปทั่ว

กลุ่มมวลชนฝ่ายอนุรักษนิยมการเมืองคงหวั่นเกรงว่าบ้านเมืองอาจมาถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อ ที่รัฐบาลตัวแทนอาจจะอยู่ต่อลำบาก หรือยากจะอยู่ในอำนาจต่อไปได้ยาวนาน

เลยเริ่มเพ้อหา 6 ตุลาฯ คิดตื้นๆ ว่าจะหยุดยั้งฝ่ายคิดต่าง ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลได้

 

ย้อนไปดูก่อน 6 ตุลาคม 2519 เป็นช่วงที่ฝ่ายขวาจัดเริ่มปูทางไปสู่การปราบปรามกวาดล้างขบวนการนักศึกษา-ประชาชน ด้วยการโหมกระแสประเภท ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป หรือยอมสูญเสียนักศึกษาสักหมื่นคนเพื่อให้บ้านเมืองสงบก็คุ้มค่า อะไรเหล่านี้

ตอนนี้ก็มาเริ่มปั่นกระแส ถ้าจำเป็นต้องโหดก็ต้องทำ และอาจจะไปถึงขั้นฆ่าคนชู 3 นิ้วไม่บาป อะไรแบบนั้น

แต่ทั้งหมดนี้คือสะท้อนว่า ขาดความรู้ทางประวัติศาสตร์ดีพอ

ไม่รู้ว่า ยิ่งไปฆ่าคนคิดต่าง อีกฝ่ายก็จะหันไปต่อสู้ด้วยแนวทางที่ดุดันเพิ่มขึ้น คราวนี้มีแต่ยิ่งบานปลายเสียหายหนักกว่าเดิม

การหยิบยก 6 ตุลาฯ ขึ้นมาข่มขู่กันในวันนี้ ด้านหนึ่งสะท้อนว่าแนวคิดแบบขวาจัดนั้นไม่พัฒนาก้าวหน้าไปไหนเลย อีกด้านสะท้อนว่า ผ่านมาแล้ว 40-50 ปี ก็ยังวนเวียน มองคนคิดต่างและมองวิธีจัดการแบบเดิมๆ โดยไม่เรียนรู้เลยว่า ไม่อาจทำให้ทุกอย่างสงบสิ้นได้

โลกใบนี้มีพัฒนาการ มีทางออกในการแก้ความคิดต่าง พัฒนาไปไกลมากแล้ว แต่ไม่ใช่ในบ้านเรา นั่นคือประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ คือทางออกที่ดีที่สุด ทำให้ประเทศชาติสงบสันติได้แท้จริง

ถ้าการเมืองเป็นประชาธิปไตยเสรี ทุกฝ่าย จะขวาจัดอนุรักษนิยมการเมือง หรือฝ่ายเสรีนิยม หรือฝ่ายซ้ายจัด ล้วนสามารถต่อสู้กันได้แบบสันติ ด้วยหนทางรัฐสภา ตั้งพรรคการเมืองชูแนวคิดของตนเองแล้วให้ประชาชนตัดสินใจในการเลือกตั้ง

มีวาระ 4 ปีก็มาตัดสินกันใหม่ เปิดโอกาสให้ทุกแนวคิดสามารถเป็นรัฐบาลบริหารประเทศตามอุดมการณ์ของตนเองได้ โดยประชาชนเป็นผู้ตัดสินในการเลือกตั้งแต่ละหน

แต่เพราะเราเลือกประชาธิปไตยเทียมๆ มีอำนาจแฝงเร้น มี 250 ส.ว.มีอำนาจเหนือเสียงประชาชน นั่นทำให้ความขัดแย้งไม่จบ ความรู้สึกเหลือล้ำเอารัดเอาเปรียบ แปรเป็นความแค้นเคือง เลยขัดแย้งไม่สิ้นสุด

หรือพอสู้กับระบบพรรคการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชนไม่ได้ ก็เอาทหารออกมาล้มกระดานยึดอำนาจ

แล้วเผลอให้รัฐบาลทหารนั้นอยู่ยาว จนประเทศเข้าสู่วิกฤตหนักก็ไม่สามารถรับมือได้ เพราะไม่ใช่นักการเมืองคนรุ่นใหม่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล

เลิกหวังได้เลยว่าจะเอาแบบ 6 ตุลาฯ มาหยุดปัญหา

ไปศึกษาประวัติศาสตร์เมื่อ 45 ปีให้ถ่องแท้เสียก่อน แล้วจะเลิกคิดเรื่องเลวร้ายและล้าหลังเช่นนี้!