เมื่อวัคซีนไม่เพียงพอในเมืองไทย แนะนำวิธีป้องกันตัว จากประสบการณ์ในอเมริกา/รายงานพิเศษ มงคล วัชรางค์กุล

รายงานพิเศษ

มงคล วัชรางค์กุล

 

เมื่อวัคซีนไม่เพียงพอในเมืองไทย

แนะนำวิธีป้องกันตัว

จากประสบการณ์ในอเมริกา

 

เมื่อวัคซีนในเมืองไทยตอบโจทย์หยุดยั้งการระบาดไม่ได้ เพราะยังไม่มีวัคซีนในปริมาณที่มากพอ แถมวัคซีนที่มีในมือก็เป็นวัคซีนตัวที่ป้องกันการแพร่ระบาดได้ผลต่ำสุดของโลก

คนไทยจะรอดปลอดภัยได้อย่างไร

ผมขอให้คำแนะนำในฐานะที่มีประสบการณ์ผ่านการระบาดหนักในอเมริกามาแล้วดังนี้

 

ประการแรกสุด หลีกเลี่ยงการเดินทางออกจากบ้านโดยไม่จำเป็น

ล็อกดาวน์ตัวเองอยู่แต่ในบ้าน

เพียงประการเดียวเท่านั้น คือคำตอบ

สำหรับคนที่ยังต้องออกไปทำงาน การเดินทางก็ต้องสวม Mask ตลอดเวลา จะเป็น Daily Protective Mask หรือหน้ากากอนามัย ใช้วันเดียวทิ้งเลย หรือจะเป็น Mask อย่างผ้า ใช้แล้วซักก็ได้

ทางที่ดีควรสวมหน้ากาก 2 ชั้น บุคลากรแพทย์ในอเมริกาสวมหน้ากาก 2 ชั้นทุกคน

ถ้าเป็นไปได้ ควรมี Face Shield ปกป้องอีกชั้นหนึ่ง

 

ประการต่อไป ต้องเว้นระยะห่างตลอดทั้งในรถโดยสารสาธารณะหรือในร้านอาหารและในที่ชุมชน

ในอเมริกาช่วงระบาดหนัก ถ้าไม่สวม Mask ไม่เว้นระยะห่าง แล้วตำรวจมาเจอจะโดนใบสั่งปรับ

พร้อมออกกฎห้ามชุมนุมเกิน 4 คนในทุกหนแห่ง

ร้านอาหารในทุกรัฐห้ามให้บริการในร้าน ขายเฉพาะ take away อย่างเดียว

ในช่วงระบาดหนัก ร้านอาหารในรัฐแคลิฟอร์เนียสูญเสียการจ้างงาน 388 ล้านจ๊อบ ก็ต้องยอมให้เกิดขึ้น

 

ประการที่สาม เมื่อการระบาดแพร่ขยายระดับสูง ต้องยุติการทำงานในสำนักงาน เปลี่ยนมาเป็น Work From Home สำนักงานต่างๆ จะให้พนักงานทำงานจากบ้าน คนติดต่องานใช้โทรศัพท์หรืออีเมลคุยข้อมูล

ตอนนี้หน่วยงานราชการอเมริกาส่วนมากก็ยัง Work From Home กันอยู่

สำนักงานในอเมริกาจัดเวรให้พนักงานเข้าสำนักงานอาทิตย์ละวัน เพื่อผลัดกันไปรดน้ำต้นไม้

ตอนนี้เมืองไทยประกาศให้ข้าราชการ Work From Home ถึงสิ้นเดือนเมษายน ผมเข้าใจว่าคงต้องขยายเวลาออกไป เพราะโควิดไม่หยุดการระบาดง่ายๆ

 

ประการที่สี่ โรงเรียนไฮสกูลหยุดการเรียนการสอนในห้องเรียนทั้งประเทศ ให้เด็กเรียนทางออนไลน์กับรีโมตคอนโทรล

ตอนนี้อเมริการะดมฉีดวัคซีนให้ครูได้ 75% แล้ว อาจารย์มหาวิทยาลัยก็ได้รับผลพวงนี้ด้วย

แต่สหภาพแรงงานครู (Teachers Union) ยังต่อรองให้ครูได้รับการฉีดวัคซีนให้ทั่วถึง 100% จึงค่อยเปิดการสอนในห้องเรียน

แต่มีโรงเรียนในบางรัฐเปิดสอนในห้องเรียนบ้าง

 

ประการที่ห้า ถ้าต้องออกไปซื้อข้าวของเครื่องใช้ควรจะช้อปปิ้งไม่เกิน 7 วัน หรือ 10 วันต่อหนึ่งครั้ง

เลือกโกรเซอรี่ที่คนน้อยที่สุด ผมหลีกเลี่ยงที่คนแน่นอย่าง Walmart

ควรใส่ถุงมือยางป้องกันการติดเชื้อจากราวรถเข็นหรือข้าวของที่หยิบจับ

ช่วงระบาดหนักสุดในอเมริกา การช้อปปิ้งมี 3 วิธีคือ

1. Curb side สั่งของทางโทรศัพท์หรือออนไลน์ แล้วขับรถไปรับของหน้าร้าน มีคนเข็นรถออกมาส่ง

2. สั่งของทางออนไลน์แล้วส่งให้ทางไปรษณีย์ UPS หรือ FedEx เช่น สั่งจาก amazon.com วิธีนี้ปลอดภัยที่สุด และนี่คือเหตุผลที่ยอดขายของ amazon.com พุ่งทะลุฟ้าช่วงโควิด

3. Shopping by appointment โทร.นัดเวลาเข้าช้อปปิ้ง แล้วมายืนเข้าคิวรอเวลาเข้าห้าง เช่น Giant ให้เข้าช้อปปิ้งครั้งละ 10 คน เมื่อถึงเวลาก็มายืนเข้าคิวคอย พอมีออกมา 2 คน ก็เข้าไปได้ 2 คน

บางห้างจะมีเวลาช้อปปิ้งให้เฉพาะ Senior ช่วงเช้า 2 ชั่วโมง ราว 7 โมงเช้าถึง 9 โมงเช้า

การสั่งอาหารก็ใช้วิธีออนไลน์แล้วมารับของหรือส่ง to go

การเคอร์ฟิวในแต่ละเมืองใหญ่ต้องมี กำหนดตามความเหมาะสมในแต่ละเมือง

หลังออกไปข้างนอก เมื่อกลับขึ้นรถต้องมีน้ำยาล้างมือเจลแอลกอฮอล์ 70% เช็ดทำความสะอาดมือและพวงมาลัยรถทุกครั้งก่อนติดเครื่องออกรถ เมื่อเข้าบ้านหมั่นล้างมือฟอกสบู่ให้บ่อยที่สุด

ระวังตอนถอด Mask อย่าเผลอเอามือไปจับปาก จมูกหรือเกาลูกตา เพราะเชื้อที่ติดอยู่บน Mask (ถ้ามี) จะติดมือผ่านเข้าร่างกายตามสารคัดหลั่งได้

 

ลูกสาวเพื่อนอเมริกันเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย อายุ 38 ปี เธอต้องสอนหนังสือในคลาสเรียน พอกลับเข้าบ้านจอดรถในเบสเมนต์ปิดประตูโรงรถ ถอดเสื้อผ้าออกใส่ถุง ถอดรองเท้า เปลือยกายเข้าบ้านอาบน้ำ สระผมทันที ทุกครั้งไป

ในกรณีสงสัยว่าจะติดเชื้อ ถ้าต้องกักกันตัวเองที่บ้าน ต้องแยกห้องนอน ห้องน้ำ แยกอาหารจากกันโดยเด็ดขาด ต้องใส่ Mask แม้จะอยู่ในบ้านตัวเอง

สำหรับคนที่อยู่คนเดียวในบ้านหรือในคอนโดฯ ให้หา “บัดดี้” คู่หูไว้ เพื่อติดต่อทางโทรศัพท์หรือเทกซ์คุยกันทุกวัน ให้รหัสประตูบ้านไว้ ถ้าวันไหนเพื่อนไม่ตอบรับต้องรีบติดตามเข้าไปดู ป้องกันการนอนตายขึ้นอืดในบ้านคนเดียว

จำไว้ว่า โควิดไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ถ้าติดเชื้อแล้วเป็นหนัก ถึงรักษาหายก็ใช้เวลานานเพื่อคืนสภาพและอาจไม่เหมือนเดิม

เพื่อนฟิลิปปินส์ในนิวยอร์กอายุ 70 ปี ติดโควิดเข้าโรงพยาบาลนอน ICU ติดเครื่องช่วยหายใจอยู่ 3 อาทิตย์ รอดมาได้ แต่ไวรัสลงไต ต้องฟอกไตอยู่เป็นเดือน

แล้วต้องไปฝึกหัด “เดิน” กันใหม่

แต่รายนี้แปลกมาก เมียไม่ยักติดเชื้อ

คนไทยผู้ชายอายุ 38 ปี อยู่คนเดียวที่เมืองฟีลาเดลเฟีย อยู่ๆ หายเงียบไปไม่ตอบรับโทรศัพท์ เพื่อนฝรั่งเรียก 911 มาพังประตูเข้าไป พบนอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้น พาเข้า ICU นอนติดเครื่องช่วยหายใจเกือบเดือน ออกมาได้ แต่ไวรัสลงไต ต้องฟอกไตทุกอาทิตย์อยู่หลายเดือน

ต้องฝึกหัด “เดิน” กันใหม่เช่นกัน

 

ที่นายกฯ ลุงตู่ แถลงตั้งกรรมการ 18 คนจัดหาวัคซีนทางเลือกภาคเอกชน โดยไม่มีชื่อ รมต.สาธารณสุข เรื่องนี้ชี้บอกอะไรบางอย่างว่า

ลุงตู่โยนว่าการที่เมืองไทยมีวัคซีนไม่เพียงพอเป็นเพราะการจัดการผิดพลาดของ รมต.สาธารณสุข

ขอให้รับไปเต็มๆ คนเดียว

ขณะที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รมต.สาธารณสุขแถลงว่า กำลังพยายามจัดหาวัคซีนจาก Pfizer จะให้ต้อง “กราบ” ก็ยอม

ที่จริง แทนที่จะไปกราบขอวัคซีนจากฝรั่ง ควรจะ “กราบ” งามๆ ขอโทษประชาชนที่จัดหาวัคซีนให้ไม่ทันการจะถูกต้องกว่า

เป็นที่อื่น รมต.สาธารณสุขเขา “กราบลา” ไปนานแล้ว

นายกฯ ลุงตู่ก็เหมือนกัน ที่ออกมาแถลงว่า ช่วงแรกจัดหาวัคซีนไว้ไม่มากพอ เพราะเข้าใจว่า “เราป้องกันการระบาดได้ดี”

ทำไมหมอที่ปรึกษาทั้งหลายไม่เตือนลุงตู่ว่า

ในโลกของการแพร่ระบาดด้วยไวรัส (ไม่ใช่แบคทีเรีย) ไม่มีคำว่า “ป้องกันการแพร่ระบาดได้ดี”

ทุกอย่างทั้งหลายทั้งปวง ต้องเตรียมการให้พร้อมสรรพ ไม่ใช่หลงละเมอเพ้อพก มิฉะนั้นจะต้องมาเสียใจภายหลัง