ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 26 พฤษภาคม - 1 มิถุนายน 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | คนแคระบนบ่ายักษ์ |
เผยแพร่ |
ตอนที่แล้วได้กล่าวถึงปัญหาทางการเมืองของอังกฤษในปี ค.ศ.1788 โดยมีสาเหตุจากอาการพระประชวรของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่สาม
การประชวรของพระองค์ทำให้พระองค์ไม่ทรงสามารถแสดงพระราชประสงค์ (the royal will) ผ่านพระราชหัตถเลขาได้
ขณะนั้น รัฐสภาก็กำลังอยู่ในช่วงปิดสมัยประชุม และตามประเพณีการปกครอง องค์พระมหากษัตริย์จะเป็นผู้ทรงกำหนดการเปิดสมัยประชุมและจะทรงเสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบรัฐพิธีและทรงมีพระราชดำรัสเปิดประชุมรัฐสภา
หากปราศจากซึ่งรัฐพิธีดังกล่าวนี้ รัฐสภาจะไม่สามารถดำเนินกิจกรรมใดๆ ต่อไปได้
อีกทั้งในกรณีที่มีร่างกฎหมายที่ผ่านสภาทั้งสองสภาแล้ว ก็จะต้องขอพระบรมราชานุญาต (royal assent) เพื่อตราเป็นพระราชบัญญัติ และพระบรมราชานุญาตดังกล่าวนี้จะต้องเป็นพระปรมาภิไธยที่เป็นลายพระหัตถ์ขององค์พระมหากษัตริย์พร้อมพระราชลัญฉกรใหญ่
ขณะเดียวกัน อังกฤษในขณะนั้นก็ยังไม่มีกฎหมายหรือกฎระเบียบต่างๆ ที่กำหนดให้สามารถให้สถาบันหรือองค์ใดแต่งตั้งตัวแทน
พูดง่ายๆ ก็คือ ยังไม่ได้กำหนดการแก้ปัญหาดังกล่าวนี้ไว้เลย หากจะให้มีการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ก็จะต้องมีการร่างและออกกฎหมายขึ้นมาใหม่
แต่ในการจะออกกฎหมายใดๆ ที่จะบังคับใช้ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ ก็จะต้องได้รับพระบรมราชานุญาตและพระบรมราชานุญาตก็จะต้องเป็นพระปรมาภิไธยที่เป็นลายพระหัตถ์ขององค์พระมหากษัตริย์ดังที่เพิ่งกล่าวไป
ดังนั้น กรณีที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1788 จึงดูจะเป็นสภาวการณ์ที่ตกหลุมติดหล่มเป็นวังวนทางตันในทางกฎหมายรัฐธรรมนูญ
ต่อกรณีดังกล่าว นายวิลเลียม พิต (William Pit) นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นได้คิดแผนแก้ปัญหาโดยเสนอให้มีการมอบอำนาจให้หัวหน้าฝ่ายตุลาการ (Lord Chancellor) สามารถประทับตราพระราชลัญกรใหญ่ได้
และข้อเสนอดังกล่าวนี้ที่เป็นทางออกจากวิกฤตนี้จะต้องได้รับความเห็นชอบจากทั้งสองสภาเสียก่อน
และเมื่อหัวหน้าฝ่ายตุลาการได้รับมอบอำนาจนี้จากความเห็นชอบของทั้งสองสภาแล้ว ก็จะเป็นผู้ประทับตราพระราชลัญฉกรใหญ่ในพระบรมราชโองการกำหนดการประชุมและเปิดประชุมรัฐสภา
และประทับตราพระราชลัญฉกรใหญ่ในพระบรมราชานุญาตต่อร่าง พ.ร.บ.ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ทันทีที่ผ่านรัฐสภาแล้ว เพื่อที่จะได้มีการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่สาม
จะเห็นได้ว่า วิธีการที่ วิลเลียม พิต คิดขึ้นมานี้คือ หัวหน้าฝ่ายบริหารริเริ่มแผนการโดยให้รัฐสภาสามารถใช้อำนาจรัฐสภามอบอำนาจให้หัวหน้าฝ่ายตุลาการใช้อำนาจแทนพระราชอำนาจในการกำหนดการประชุม-เปิดประชุมรัฐสภาและอนุมัติร่างกฎหมายได้
แผนการการแก้ทางตันนี้ได้รับการยอมรับในหลักการและนำไปปฏิบัติ และเมื่อผ่านขั้นความเห็นชอบของสภาสามัญแล้ว ในขณะที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาขุนนางหรือสภาสูง ปรากฏว่าสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่สามทรงมีพระอาการดีขึ้นและทรงสามารถบริหารพระราชภารกิจได้
แผนการที่จะให้รัฐสภาจะใช้อำนาจแทนพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์จึงไม่จำเป็นอีกต่อไป
และก็ถือว่าเป็นโชคดีของการเมืองอังกฤษในขณะนั้นที่ไม่ต้องใช้วิธีการดังกล่าว เพราะการหาทางออกของทางตันโดยให้รัฐสภาสามารถใช้อำนาจแทนพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ได้ อาจจะนำไปสู่วิกฤตความชอบธรรมของรัฐธรรมนูญได้
แม้วิกฤตความชอบธรรมของรัฐธรรมนูญอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นทันที แต่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตในเงื่อนไขที่แตกต่างไปได้
แต่ก็เป็นเรื่องแปลกที่หลังจากสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่สามทรงพระอาการดีขึ้นและทรงสามารถบริหารพระราชภารกิจได้แล้ว แต่อังกฤษก็กลับไม่คิดรีบออก พ.ร.บ.ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ที่จะสามารถครอบคลุมเงื่อนไขต่างๆ ที่พระมหากษัตริย์จะทรงบริหารพระราชภารกิจไม่ได้ เพื่อจะได้ไม่ต้องเผชิญกับปัญหาทางตันแบบนี้อีก
ซึ่งต่อมาในปี ค.ศ.1810 พระองค์ทรงประชวรอีก และรัฐสภาก็อยู่ในช่วงปิดสมัยประชุมอีกเช่นกัน วิธีการแก้ปัญหาที่ วิลเลียม พิต คิดไว้ก็ถูกนำมาปฏิบัติ เพื่อนำไปสู่การเปิดประชุมสภาและการผ่าน พ.ร.บ.ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ซึ่งคราวนี้ทุกอย่างดำเนินไปตามแผนการดังกล่าว และมีการแต่งตั้งเจ้าชายแห่งเวลส์เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ซึ่งผู้สำเร็จราชการแทนสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่สามได้ทรงบริหารพระราชภารกิจแทนพระองค์เป็นเวลาถึง 10 ปีจนสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่สามทรงเสด็จสวรรคตในปี ค.ศ.1820
แน่นอนว่า ผู้ที่เป็นนักกฎหมายที่เคร่งครัดในหลักการทฤษฎีย่อมต้องตั้งข้อสงสัยต่อความชอบธรรมของกระบวนการแก้ไขวิกฤตดังกล่าว
นั่นคือ คณะรัฐมนตรีและรัฐสภาใช้อำนาจแทนพระราชอำนาจขององค์พระมหากษัตริย์ได้อย่างไร?
ส่วนฝ่ายที่เน้นผลสัมฤทธิ์ย่อมอธิบายว่า ย่อมทำได้เพื่อหาทางออกเมื่อสถานการณ์จำเป็น!
ปัญหาในลักษณะเดียวกันนี้ได้เกิดขึ้นในอังกฤษอีกในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่สาม
โดยในปี ค.ศ.1928 เมื่อสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ห้าทรงประชวร ทำให้ต้องมีการกราบบังคมทูลเชิญเจ้าชายแห่งเวลส์ที่ขณะนั้นทรงประทับอยู่ที่ซาฟารี แอฟริกาให้รีบเสด็จกลับอังกฤษหากสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ห้าจะทรงเสด็จสวรรคต
และในขณะที่เจ้าชายแห่งเวลส์ยังทรงเสด็จกลับไม่ถึงอังกฤษ คณะองคมนตรี (Privy Counsellors) ได้ประชุมกันบริเวณหน้าห้องบรรทม เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับในกรณีที่สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ห้าจะทรงมีพระราชโองการแต่งตั้ง “สภาสำเร็จราชการแผ่นดิน” (Counsellors of State) ให้บริหารพระราชภารกิจแทนพระองค์
แต่ที่สุดแล้ว กระบวนการดังกล่าวนี้ก็มิได้ดำเนินไปถึงที่สุด เนื่องด้วยสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ห้าทรงมีพระอาการดีขึ้น
ต่อมาในปี ค.ศ.1936 พระองค์ได้ทรงประชวรอีก และได้มีการเตรียมที่จะดำเนินการตามขั้นตอนที่กล่าวไปข้างต้น และแพทย์หลวงได้ถวายความช่วยเหลือด้วยการประคองพระหัตถ์สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ห้าเพื่อลงพระปรมาภิไธยในการแต่งตั้งสภาสำเร็จราชการแผ่นดินขึ้น
ก่อนหน้าเหตุการณ์ในปี ค.ศ.1936 เคยมีการแต่งตั้งสภาผู้สำเร็จราชการแผ่นดินมาแล้วในปี ค.ศ.1911 นั่นคือ ก่อนที่สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ห้าจะเสด็จเยือนอินเดีย พระองค์ได้ทรงแต่งตั้งสภาผู้สำเร็จราชการแผ่นดินด้วยเหตุผลที่ว่าพระองค์จะมิทรงประทับอยู่ในราชอาณาจักร
และจากกรณีการแต่งตั้งสภาผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในปี ค.ศ.1911 นี้เองจึงเป็นที่มาของแบบแผนปฏิบัติในเวลาต่อมา นั่นคือ ในปี ค.ศ.1925 สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ห้าทรงมีความจำเป็นด้านสุขภาพที่จะต้องเสด็จล่องเรือไปในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อให้พระองค์ทรงมีพระพลานามัยดีขึ้น
และในการที่มิได้ทรงประทับอยู่ในราชอาณาจักรนี้ พระองค์ก็ทรงแต่งตั้งสภาผู้สำเร็จราชการแผ่นดินให้ปฏิบัติพระราชภารกิจแทนพระองค์
และต่อมาในกรณีที่ทรงพระประชวรในปี ค.ศ.1928 และ 1936 ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น อังกฤษก็เริ่มมีความชัดเจนในแบบแผนประเพณีการแต่งตั้งสภาผู้สำเร็จราชการแผ่นดินให้ปฏิบัติพระราชภารกิจแทนองค์พระมหากษัตริย์
ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่จะมิทรงประทับอยู่ในราชอาณาจักรหรือทรงประชวร พระมหากษัตริย์อังกฤษจะทรงมีพระราชอำนาจในการแต่งตั้งสภาผู้สำเร็จราชการแผ่นดินให้ปฏิบัติพระราชภารกิจแทนพระองค์ได้
ดังจะเห็นได้จากกรณีทั้งสี่ที่กล่าวไปนี้ นั่นคือ ค.ศ.1911 (มิได้ทรงประทับอยู่ในราชอาณาจักร) ค.ศ.1925 (มิได้ทรงประทับอยู่ในราชอาณาจักร) ค.ศ.1928 (ทรงประชวร) และ ค.ศ.1936 (ทรงประชวร)
นักวิชาการด้านรัฐธรรมนูญของอังกฤษชี้ว่า แบบแผนที่เริ่มต้นในปี ค.ศ.1911 นี้ถือเป็นสิ่งใหม่ และได้กลายเป็นแบบแผนประเพณีการปกครองในเวลาต่อมา
คำถามคือ ไม่มีผู้ใดในอังกฤษขณะนั้นตั้งแง่เกี่ยวกับความถูกต้องชอบธรรมในแง่กฎหมายต่อนวัตกรรมของประเพณีการปกครองที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ยี่สิบนี้เลยหรือ?