ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 7 - 13 มิถุนายน 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | อาชญากรรม |
เผยแพร่ |
แม้จะคว้าน้ำเหลวจากปฏิบัติการปิดล้อมเทือกเขาบรรทัดล่าตัวนักโทษชาย ‘แป้ง นาโหนด’ ที่ก่อเหตุอุกอาจแหกห้องควบคุมเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช ภายในโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช หลบหนีลอยนวลเมื่อปลายปี 2566
แต่ความพยายามของเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะตำรวจภูธรภาค 9 และกระทรวงยุติธรรม ในการติดตามจับกุมนักโทษรายนี้ ไม่เคยหยุดลง
ผ่านไป 222 วัน อิสรภาพ ‘แป้ง นาโหนด’ ก็จบลง เมื่อเจ้าตัวถูกตำรวจอินโดนีเซียจับกุมขณะเดินทางมาเที่ยวเกาะบาหลี
เบื้องหลังจับ ‘แป้ง นาโหนด’
เมื่อ 30 พฤษภาคม 2567 พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม รุดเข้าทำเนียบรัฐบาลรายงานให้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี รับทราบความคืบหน้าการติดตามจับกุมตัว นายเชาวลิต ทองด้วง อายุ 37 ปี หรือ ‘เสี่ยแป้ง นาโหนด’ นักโทษเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช ที่ได้หลบหนีจากโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช ขณะถูกส่งไปรักษาตัวเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2566 พร้อมรายงานการเตรียมเดินทางไปอินโดฯ เพื่อประสานเรื่องส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน
เบื้องหลังการสืบสวนจับกุม แป้ง นาโหนด เกิดจากความทุ่มเทของชุดสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 9 นำโดย พ.ต.อ.สมพงษ์ สุวรรณวงศ์ รองผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนภูธรภาค 9 (รอง ผบก.สส.ภ.9) ซึ่งเกาะติดพื้นที่สืบสวนหาข่าวมาตลอด 7 เดือน จนพบความเคลื่อนไหวของบุคคลรอบตัว ‘แป้ง’
จึงประสานไปยังกองบังคับสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (บก.สส.สตม.) จนพบว่า ห้วงเวลาที่ผ่านมามีบุคคลเฝ้าระวังที่เชื่อว่าเป็นแฟนสาวของ ‘แป้ง’ เดินทางไปกลับเมืองเมดาน ประเทศอินโดนีเซีย หลายครั้ง

ประจวบกับเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคมที่ผ่านมา เกิดคดีคนร้ายจับกุมตัวนายชาวานา, นายชยาร์บินี และนายอาริยาดี ชาวอินโดฯ ไปเรียกค่าไถ่ 2.3 ล้านบาท ซึ่งผู้ต้องหาที่ก่อเหตุเป็นลูกสมุน ‘แป้ง นาโหนด’ หนึ่งในนั้นคือ ด.ต.หญิงเพลินพิศ จันทร์เทศ ตำรวจสังกัดภูธรภาค 9 เป็นญาติคนสนิทของ ‘แป้ง’
ที่สำคัญคดีนี้เมื่อสืบลึกลงไปพบว่า เป็นการจัดฉากเรียกค่าไถ่ เนื่องจากพบว่านายชาวานา อยู่ในแก๊งค้ายาเสพติดชาวอินโดฯ ที่ซื้อยาไอซ์จากแก๊งของ ‘แป้ง’ แต่ยังติดค้างค่ายาเป็นเงิน 2 ล้านบาท เจ้าตัวจึงอยู่เป็นตัวประกันเอง ไม่ได้ถูกบังคับจับมา โดยมี ด.ต.หญิงเพลินพิศ เป็นคนขับรถไปรับตัวทั้ง 3 คนมาพักซ่อนตัวใน จ.พัทลุง
แต่ผ่านมาเป็นสัปดาห์ ทางแก๊งยังหาเงินค่ายามาให้ไม่ได้ จึงวางแผนร่วมกับสมุนของ ‘แป้ง’ ติดต่อน้องสาวที่อินโดฯ อ้างว่าถูกจับซ้อมทรมานเพื่อเรียกค่าไถ่ 2.3 ล้านบาท แต่ปรากฏว่าน้องสาวโอนเงินมาให้เพียง 8 แสนบาท จากนั้นจึงแจ้งตำรวจก่อนมีการประสานสถานทูตอินโดฯ แจ้งตำรวจไทยเข้าช่วยเหลือและจับกุมผู้ต้องหาได้
หลังชุดสืบสวนได้ข้อมูลสอดคล้องกัน ยืนยันได้ระดับหนึ่งว่า ‘แป้ง’ หลบหนีไปอยู่ที่อินโดฯ จึงประสาน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ในฐานะควบคุมกรมราชทัณฑ์
ต่อมา พ.ต.อ.ทวี มีคำสั่งให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เข้ามาร่วมสืบสวนคดีนี้ พร้อมตั้งชุดเฉพาะกิจให้ดีเอสไอเข้ามาร่วมสืบสวนสอบสวนกับตำรวจ โดยร่วมสอบปากคำแฟนสาวของ ‘แป้ง’ จนทราบว่าเพิงเลิกกันเพราะถูกทำร้าย
พ.ต.อ.ทวี ให้เจ้าหน้าที่เข้าไปสอบเค้น ด.ต.หญิงเพลินพิศ ในเรือนจำ จนได้ข้อมูลที่อยู่ของ ‘แป้ง นาโหนด’ รวมทั้งพฤติกรรมที่ยังไม่เปลี่ยน มีการเข้าไปพัวพันขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ ติดต่อค้ายาเสพติดผ่านกลุ่มค้ายาเสพติดใน จ.พัทลุง และสงขลา
นายกฯ ส่ง ‘พล.อ.นิพัทธ์’ ร่วมทีม
รมต.ทวี รายงานเรื่องทั้งหมดให้นายกฯ เศรษฐาทราบ นายกฯ จึงให้ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ที่ปรึกษานายกฯ ร่วมทีมประสานงานกับตำรวจอินโดฯ
เนื่องจาก พล.อ.นิพัทธ์ มีสายสัมพันธ์ที่ดีมากกับรัฐบาลอินโดนีเซีย เคยเป็นหัวหน้าผู้สังเกตการณ์ในกระบวนการสันติภาพอาเจะห์ และยังได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูง Bintang Jasa Utama จากผู้นำอินโดนีเซียยุคนั้นด้วย
พล.อ.นิพัทธ์ ได้อาศัยคอนเน็กชั่นที่มี ประสานไปยังนายจูซุฟ คัลลา (H.E. Mr. Jusuf Kalla) อดีตรองประธานาธิบดีอินโดนีเซีย เพื่อขอให้ช่วย
พอทราบเรื่อง นายจูซุฟ ได้ขอพบกับ พ.ต.อ.ทวี และ พล.อ.นิพัทธ์ ที่จาการ์ตา เพื่อพูดคุยรายละเอียด โดยมีรักษาการอธิบดีดีเอสไอ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ พร้อมลูกน้องอีก 2 คนเดินทางไปด้วย
เมื่อหารือกันแล้ว นายจูซุฟ มอบหมายให้ พล.ต.ต.คริชนา มูร์ติ จเรตำรวจอินโดนีเซีย รับผิดชอบงานด้านต่างประเทศทั้งหมด เป็นผู้แทน ผบ.ตร.อินโดนีเซีย มาพบ ฝ่ายไทยได้ให้ข้อมูล ภาพถ่าย และพฤติกรรมต่างๆ ของ ‘แป้ง’ เบื้องต้นคาดว่าซ่อนตัวอยู่ที่เมืองเมดาน เมืองใหญ่อันดับ 3 ของอินโดนีเซีย สามารถเดินทางโดยเรือจากภาคใต้ของไทยไปถึงได้
ตำรวจอินโดนีเซียตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่สนามบิน วันที่หญิงสาวซึ่งคาดว่าเป็นแฟนของ ‘แป้ง’ เดินทางมาถึง พบว่าเดินทางไปที่หอพักแห่งหนึ่งในเมืองเมดาน ชุดสืบสวนตำรวจไทยและตำรวจอินโดนีเซียจึงเดินทางไปยังสถานที่ดังกล่าว พร้อมสอบปากคำพยาน
พบว่ามี รปภ.คนหนึ่งให้การยืนยันชัดเจนว่า เห็น ‘แป้ง’ ทะเลาะและมีปากเสียงกับหญิงไทยคนหนึ่งอย่างรุนแรง จึงจำหน้าได้ ส่วน ‘แป้ง’ ไม่ได้กลับมาที่ห้องพักอีก พ.ต.อ.ทวี และ พล.อ.นิพัทธ์ จึงเดินทางกลับไทยก่อน โดยมีเจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งอยู่ติดตามต่อ
ต่อมาการสืบสวนร่วมกันของสองประเทศยังพบว่า นายแป้งมีแฟนอีกคนเป็นชาวอินโดนีเซีย และเดินทางไปเที่ยวบาหลี โดยก่อนเดินทางไปได้ทำบัตรประชาชนปลอมของประเทศอินโดนีเซีย เพื่อเดินทางขึ้นเครื่องบินไปยังบาหลี
ระหว่างนั้นตำรวจอินโดนีเซียสืบสวนกระทั่งรู้ว่าหญิงชาวอินโดนีเซียที่เดินทางไปกับเสี่ยแป้งคือใคร เมื่อตรวจสอบก็พบว่าหญิงคนดังกล่าวถูกทำร้ายบาดเจ็บ พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลบาหลี จึงประสานงานกับตำรวจบาหลี และเข้าสอบปากคำหญิงคนดังกล่าวทันที
หญิงคนดังกล่าวรับสารภาพว่า เดินทางมากับแป้งจริง แต่ระหว่างนั้นมีปากเสียงทะเลาะกัน เพราะจับได้ว่าเสี่ยแป้งมีกิ๊กสาวเป็นชาวอินโดนีเซียอีกคน จึงแยกทางกันเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม เธอยังแฉหมดเปลือกด้วยว่า ที่พักสุดท้ายของเสี่ยแป้งอยู่ที่ไหน
เช้าวันที่ 30 พฤษภาคม พล.อ.นิพัทธ์ ได้รับโทรศัพท์แจ้งข่าวดีจาก พล.ต.ต.คริชนา ว่า “We got him” พร้อมให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ได้ตัวที่บาหลี โดยขณะถูกจับ ‘แป้ง’ แกล้งทำเป็นใบ้ เจ้าหน้าที่ตำรวจอินโดฯ จึงประสานตำรวจไทยจนยืนยันได้ว่าเป็นตัวจริง

2 มิถุนายน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม พร้อมด้วย พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รักษาการอธิบดีดีเอสไอ พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข รักษาการรอง ผบ.ตร. พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ที่ปรึกษานายกฯ เจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เดินทางไปกรุงจาการ์ตา มาเจอ ‘แป้ง’ ที่อยู่ในชุดผู้ต้องหาสีส้มและถูกเจ้าหน้าที่คุมตัว
จากนั้นมีเจ้าหน้าที่สอบถาม ‘แป้ง’ ว่าคลิปที่ถ่ายอีพีแรกในสวนปาล์ม คือที่ไหน ‘แป้ง’ บอกว่า “อินเดียครับ” จากนั้นเจ้าหน้าที่ถึงสถานที่ถ่ายอีพี 2 คำถามนี้ ‘แป้ง’ ไม่ได้ตอบคำถาม ระหว่างพูดคุยยังบอกด้วยว่า ตอนนี้เลิกกับภรรยาไปแล้ว ไม่รู้จะมีใครมาเยี่ยมหรือไม่
แป้ง นาโหนด ยังเล่าด้วยว่า ช่วงหลบหนีได้ออกกำลังกายทุกวัน โดยวิ่งในฟิตเนสคอนโดฯ พร้อมชื่นชม พ.ต.อ.ทวี ว่า “ผมยอมรับเลยว่า ท่านเจ๋งจริง ขนาดผมบินมาบาหลีแล้วยังจับได้ สุดยอดมาก ไม่ยอมแพ้ ขนาดผมหนีไปมา 3-4 ประเทศแล้ว”
4 มิถุนายน ตำรวจสากลอินโดนีเซีย ควบคุมตัว ‘แป้ง นาโหนด’ ขึ้นเครื่องเช่าเหมาลำจากท่าอากาศยานซูการ์โน-ฮัตตา ส่งกลับไทยมาลงที่สนามบิน จ.นครศรีธรรมราช โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจไทย รอควบคุมตัวไปสอบสวนที่ สภ.เมืองนครศรีธรรมราช
พล.ต.ต.สมชาย ซื่อต่อตระกูล ผบก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช กล่าวว่า การสอบสวนปากคำนายเชาวลิต เสร็จสิ้นเมื่อเวลา 04.00 น. ของวันที่ 5 มิถุนายน รวม 9 ชั่วโมงทั้งคดีของ สภ.เมืองนครศรีธรรมราชและตำรวจจากจังหวัดพัทลุง อีก 3 คดี เบื้องต้นเจ้าตัวปฏิเสธให้การในชั้นสอบสวน จากนั้นเจ้าหน้าที่นำตัวส่งศาลฝากขัง ก่อนจะคุมตัวมาควบคุมที่เรือนจำบางขวาง
เชื่อว่าระดับ รมต.ทวี คงไม่หยุดแค่นี้ ยังต้องสอบสวนหาความจริง ทั้งประเด็นมีเจ้าหน้าที่ไปร่วมพาหนีหรือไม่ ทั้งกรณีเจ้าหน้าที่รัฐกระทำมิชอบ ดังที่ ‘แป้ง’ พาดพิงเอาไว้ในคลิปหรือไม่
รวมถึงขบวนการยาเสพติดที่เชื่อมโยงระหว่างแก๊งค้ายาชาวอินโดนีเซีย จะต้องตามขุดรากถอนโคนให้สิ้นซาก
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022