คำ ผกา | กลัวไม่ได้รับความรักจากสลิ่ม

คำ ผกา

ตอนนี้สิ่งที่น่าเบื่อที่สุดสำหรับฉันคือ

“การเคลื่อนไหวของม็อบต้องคำนึงถึงความรู้สึกของคนกลางๆ ด้วย ถ้าเราทำอะไรไม่ดี พูดจาหยาบคาย หรือไปพ่นสีใส่ห้างสรรพสินค้าที่เขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเผด็จการที่เรารังเกียจ ระวังจะเป็นการเพิ่มศัตรู ระวังคนกลางๆ ที่เขากำลังจะมาร่วมขบวนกับเราจะถอนตัว แล้วเราจะโดดเดี่ยว”

ล่าสุดมีความพยายามจะออกมา “เตือนสติ” ว่า ฝ่ายม็อบ ฝ่ายประชาชนไม่มีอะไรเป็นต้นทุนการเคลื่อนไหวเลย ไม่มีอาวุธ ไม่มีกลไกรัฐ ไม่มีระบบราชการ ไม่มีทหาร ไม่มีตำรวจ ไม่มีเงิน ไม่มีอาวุธ ไม่มีอะไรทั้งนั้น สิ่งเดียวที่เรามีคือ ความชอบธรรมว่าด้วยการเรียกร้องประชาธิปไตย หลักการที่มีคุณค่าอันสูงส่งตรงกับหลักสิทธิมนุษยชนของอารยประเทศ และมวลหมู่ประชาชนที่ร่วมกับเราและลังเลว่าจะร่วมกับเราดีหรือไม่

ดังนั้น หากใครมาร่วมกับเรา แล้วเราต้องพยายามรักษามิตรภาพอันนั้นเอาไว้ อดออม ถนอมน้ำใจ รักษามิตร และแสวงหามิตรใหม่ต่อไปเรื่อยๆ เราจะมีมิตรใหม่ๆ มาร่วมกับเราก็ต่อเมื่อเราพูดจาดี มีหลักการ มีหลักวิชาการ เราต้องไม่ก้าวร้าว เราไม่พึงหยาบคาย เราไม่พึงกระทำการใดๆ ให้เป็นขัดเคืองหทัยของคนหัวใจกลางๆ ที่เปราะบางต่อความรุนแรง เพราะมิตรคือต้นทุนเดียวที่เรามีอยู่

เตือนมาด้วยความหวังดี ปรารถนาดี เข้าใจดี เชียร์ขบวนการประชาธิปไตยสุดพลังปิรันย่า บลา บลา

ฉันมีคำถามง่ายๆ ว่า จากมี 2549 มาวันนี้ ปี 2560 ในระยะเวลา 11 ปี นี้ เรามีรัฐประหารไปสองครั้ง ครั้งที่ 2 คือปี 2557

ระยะเวลา 11 นี้เพียงพอไหมสำหรับคน “กลางๆ” ที่จะตระหนักว่า เราอยู่ในบ้านเมืองที่ไม่ปกติ

การทำรัฐประหารเป็นเรื่องที่ปกติ และต่อให้คุณเป็นคนที่เคยเชื่อว่า การรัฐประหารเป็นทางเซ็ตซีโร่ทางการเมือง เพื่อนับหนึ่งกันใหม่ เขียนกติกาใหม่ ปราบคอร์รัปชั่น หรืออะไรก็ได้ที่คุณเชื่อว่า มันเป็นหนทางเดียวแห่งการกอบกู้ประเทศ

แต่ 11 ปี มันเพียงพอหรือยังว่า การคอร์รัปชั่นไม่ได้น้อยลง ประเทศตกต่ำย่ำแย่ในทุกมิติ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ คุณภาพชีวิต ความเหลื่อมล้ำ การศึกษา ปัญหาสังคม

เรียกได้ว่า จับเอาตัวชี้วัดไหนมาวัดผลประเทศไทย ก็ไม่มีอะไรที่ชี้เห็นว่า ประเทศเราดีขึ้น หลังจากการรัฐประหารไปสองครั้ง และต่อให้ไม่มีโควิด สภาพเศรษฐกิจ ศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก อะไรต่อมิอะไรของเราก็ไม่ได้จะดีกว่าที่เป็นอยู่

ตรงกันข้าม โควิดมาเป็นตัวช่วยให้รัฐบาลมีข้อแก้ตัวให้กับความล้มเหลวของตัวเองแค่นั้น

พูดให้หยาบคายกว่านั้นคือ แม้แต่จะเป็นเผด็จการที่บริหารประเทศให้เข้าเป้าสักนิดเพื่อสะสมเป็นโปรไฟล์ให้ตัวเอง รัฐบาลนี้ยังไม่มีปัญญาทำ

ประเด็นที่ไม่ต้องใช้รอยหยักของสมองมากในการทำความเข้าใจเลย ไม่ว่าจะเป็นการดึงเอานักการเมืองเสือ สิงห์ กระทิง แรดมาอยู่ในพรรคพลังประชารัฐ (ไหงสลิ่มบอกไม่ชอบนักการเมือง) ประเด็นนาฬิกาเพื่อน แหวนแม่ ประเด็นเฮโรอีนกลายเป็นแป้ง

หรือง่ายที่สุด สลิ่มในกรุงเทพฯ ไม่สำเหนียกหรือว่า ตัวเองไมได้เลือกตั้งผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ มากี่ปี แล้วสภาพกรุงเทพฯ ดีขึ้นหรือแย่ลง ทั้งในเรื่องรถติด น้ำท่วม น้ำรอการระบาย ปัญหาหนู แมลงสาบ ความสกปรก เละเทะของเมืองกรุง ค่าครองชีพที่สูง ราคารถไฟฟ้า รถใต้ดินที่แพงระยับ จำนวนขอทาน คนเร่ร่อนที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

สิ่งที่เห็นตำตาเหล่านี้สำหรับฉันเห็นว่า ถ้าคน “กลางๆ” ยังไม่มีปัญญาจะคิดได้ว่า รัฐบาลมันห่วย และต้นเหตุแห่งความห่วยไม่ใช่เรื่องความไร้ฝีมือ แต่เกิดจากการที่เรามีผู้บริหารประเทศที่ไม่ได้เป็นตัวแทนของประชาชน พวกเขาจึงสามารถทำอะไรทุเรศๆ ได้โดยไม่ต้องแคร์ประชาชน

ถ้าเรื่องแค่นี้ คน “กลางๆ” ยังไม่มีปัญญาคิดได้ด้วยตัวเอง ต้องรอให้ฝ่ายม็อบหรือผู้ประท้วง ไปนั่งพับเพียบเรียบร้อย บอกว่า ท่านจ๊ะ ท่านจ๋า มามะ มานั่งล้อมวงเข้ามา ฉันจะเล่าอะไรให้ฟัง กอเอ๋ย กอไก่ ขอไข่ในเล้า เคยฟังไหมจ๊ะ

จากนั้น ชาวม็อบต้องเอาใจพวกคนกลางๆ ปัญญาอ่อน ด้วยการจัดอีเวนต์ในม็อบให้ถูกจริตคนกลางๆ อาจต้องจัดกิจกรรมเก็บขยะในทะเล ช่วยชีวิตเต่าตนุ รณรงค์ใช้หลอดกระดาษ งดการใช้ถุงพลาสติกในม็อบ

จากนั้นต่อด้วยการจัดกลุ่มจิตอาสาประชาธิปไตยไปบำเพ็ญประโยชน์ ดูแลผู้ป่วยติดเตียงในชุมชน ส่งอาสาสมัครไปเล่นกีฬากับเด็กในชุมชนแออัด จัดทอล์กเรื่องโควิดคือของขวัญกับพระภิษุชื่อดัง ผู้นำจิตวิญญาณของพวกกลางๆ

ตามด้วยเชิญดาวรุ่ง ดาวฤกษ์ด้านสันติวิธีมาพูด อธิบายให้เราซาบซึ้งประเด็นอารมณ์ขันอย่างน่ารัก มุ้งมิ้งของม็อบเพื่อประชาธิปไตย จากนั้นเชิญนักสันติวิธีแสนฉลาด แสนเป๊ะทางทฤษฎีมาทำเวิร์กช็อป

“ม็อบอย่างไรให้สลิ่มรัก”

ฉันต้องร้อง เชี่ย ออกมาดังๆ แล้ว และใช่ ฉันกำลังประชด เพราะทั้งหมดนี้ ถ้าสลิ่มกลางๆ ทั้งหลายยังไม่สามารถเห็นความระยำตำบอนของทรราช และความป่าเถื่อนทั้งมวลที่อำนาจรัฐได้กระทำกับสามัญชนคนธรรมดา ก็ช่างหัวคนกลางกลางมัน

เพราะท้ายที่สุดแล้ว เหล่านี้ไม่ใช่คนกลางๆ แต่เป็นคนกลวงกลวงๆ และถึงที่สุด คนพวกนี้สันดานเสียกว่าที่เราจะคิดได้ เพราะที่ไม่ยอมมาเป็นแนวร่วมของฝ่ายประชาธิปไตย ไม่ได้เกิดจากการเป็น “กลางๆ” แต่จริงๆ แล้วเป็นพวกคนฝักใฝ่เผด็จการที่พยายามยืนระยะ รักษาตัว ไม่อยากแปดเปื้อนจากการประกาศว่า กูรักเผด็จการ

ทั้งยังอยากแอบแฝงทำมาหากินกับขบวนการประชาธิปไตย

ไม่ใช่กลางเพราะยังคิดไม่ออก แต่จงใจเป็นกลางเพื่อไม่เสียผลประโยชน์ ไม่เสียภาพลักษณ์ กระโดดมาถ่ายรูปกับม็อบป๊อบแป๊บ แล้วไปโพสต์เอากระแส

พอม็อบเริ่มแรง ก็บอกว่า “อร้ายยย เราอย่าหยาบคายนะ เราต้องพูดกันดีๆ ปราศรัยให้เป็นเนื้อหาน่าฟัง จากนั้นก็เขียนอะไรให้ถูกใจสลิ่ม เพื่อไปรับงานกับสลิ่มต่อได้”

ที่น่าโกรธคือ ฝั่งโปรประชาธิปไตยที่ป่านนี้ไม่เคยรู้ทันสลิ่ม กะทิ ลูกชุบ ยังเฝ้าท่องคาถา แสวงหาจุดร่วม สงวนจุดต่าง โอบอุ้มความหลากหลาย เปิดใจให้คนกลางๆ สบายใจที่จะมาอยู่กับเรา

กูจะสร้างสังคมประชาธิปไตยให้อยู่ร่วมกันได้ทั้งหมดเนี่ยะ ถ้ายังคิดว่ามันลำบากใจ แล้วให้พวกกูต้องคอยประเล้าประโลม ลูบหัวลูบหาง โอ๋เอ๋ๆ ก็ไปกินขี้ต่อเถอะ กูจะไปหาที่กินข้าวต่อ

ไม่รอแล้วนะ

ถ้าประเทศชาติมันดีๆ อยู่ คงไม่มีใครนึกสนุกเสี่ยงตายออกมาม็อบ มีใครเที่ยวไปสาดสี หรือพ่นกราฟฟิตี้เอามันในยามที่เจ้าหน้าที่รัฐ และ กฎหมายไม่ได้ยืนอยู่ข้างเรา

ย้อนแย้งกว่านั้น ฉันจะบอกว่า ถ้าบ้านเมืองดี มีหลักนิติรัฐ นิติธรรม มีรัฐบาลที่เห็นหัวประชาชน เป็นประเทศที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ หากมีใครสักคน หรือ สักกลุ่ม ออกมาประท้วงด้วยประเด็นใดๆ ที่เขาไม่พอใจ แล้วอุตริไปทำลายทรัพย์สินสาธารณะ สิ่งที่เขาจะได้รับคือ เขาจะได้รับโทษตามกฎหมายว่าด้วยการ ทำความสกปรก หรือ ทำลายทรัพย์สินจริงๆ และกระบวนการ แจ้งความ แจ้งข้อหา จับกุมตัวคนคนนั้น จะเป็นกระบวนการถูกต้องตรงกับหลักการยุติธรรม คำนึงสิทธิผู้ต้องหาในการมีทนาย สิทธิในการประกันตัว หรือมากที่สุด เขาก็เสียแค่ค่าปรับ

เขาจะไม่ต้องเผชิญกับการอุ้มตัวไปเฉยๆ จากบ้านหรือหอพัก จะไม่มีตำรวจ ทหารไปเยี่ยมพร้อมข่มขู่ คุกคามพ่อ-แม่ ญาติของเขาถึงบ้าน จากนั้น รัฐหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบก็มีหน้าที่ซ่อมแซมสิ่งที่เสียหายให้กลับมาใช้งานได้ดังเดิม

เรื่องมันก็มีอยู่แค่นี้

ทีนี้ถ้าบ้านเมืองไหนสามารถบริหารประเทศจนคนเป็นแสนๆ คนในประเทศนั้น คุกรุ่นไปด้วยความโกรธ ความน้อยเนื้อต่ำใจ

และความโกรธนั้นเราแยกแยะไม่ได้หรอกว่าความโกรธของใครมีค่ามากกว่าของใคร ความโกรธของใครมีวุฒิภาวะมากว่าของใคร

ยิ่งมาดูบริบทของม็อบเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยระลอกล่าสุด (ไม่ย้อนเรื่องเสื้อแดงแล้ว เพราะถ้าไม่กลวงก็ต้องรู้ว่า เสื้อแดงต้องเจอกับความโหดร้ายของพวกกลางๆ และพวกสันติวิธี ทั้งหลายอย่างไรบ้าง) ที่เป็นแฟลชม็อบ มาจนถึงแฮมทาโร่ มาถึงผูกโบขาว มาถึงม็อบเป็ด ถ้าใจไม่ดำจนเกินไป จะพบว่า พวกเขาพยายามอย่างที่สุดแล้วที่จะสุภาพและมีอารยะ

แต่สิ่งที่พวกเขาเจอคือ แกนนำที่มีอายุ ยี่สิบกว่าๆ ถูกจับเข้าคุก ย้ำว่าถูกจับเข้าคุก และในกระบวนการทั้งก่อนและหลังเข้าคุกก็เต็มไปด้วยข้อน่ากังขา จนต้องพาไปม็อบที่หน้าโรงพักครั้งแล้วครั้งเล่า นักเรียนอายุสิบห้า สิบหก เจอหมายเรียก แกนนำม็อบนักเรียนตามโรงเรียนต่างๆ ถูกคุกคาม

หนักที่สุด พวกเขาโดนฉีดน้ำ และโดนแก๊สน้ำตา โดยไม่มีเหตุผล หรือเหตุอันควรแก่การโดนแม้แต่น้อย

ไม่นับเรื่องตำบอนที่รัฐบาลทำขึ้นมาทุกวันๆ แล้วทีนี้เมื่อมีม็อบ เราจะมาบอกว่า กูสั่งให้มึงสุภาพเรียบร้อย เก็บงำความโกรธไว้ก่อน เดี๋ยวไม่มีพวก เดี๋ยวไม่มีเพื่อนอย่างนั้นหรือ

พวกเขาถูกกระทำ และถ้าจะพวกเขาจะระบายความโกรธกับทรัพย์สิน สิ่งของ

แม้เราไม่เห็นด้วย แต่อันดับแรกเราพึงเข้าใจความโกรธนี้ ไม่ใช่มานั่งทำรู้มาก สั่งสอน และไปให้ท้ายคนกลางๆ แสดงความหิวโหยในความรักจากสลิ่มอย่างน่าขยะแขยง

เมื่อมีม็อบก็ย่อมมีความสกปรก ความเสียหาย แตกหัก ของทรัพย์สินสาธารณะ เป็นเรื่องแสนสามัญ และเป็นราคาที่เราต้องจ่ายร่วมกัน

เพราะม็อบกำลังสื่อสารว่า บ้านเมืองมันพังพินาศก่อนที่ม็อบจะออกมาพ่นสีใส่มันเสียอีก

ม็อบย่อมหมายถึงการ “ต่อต้าน” และการต่อต้านนี้ย่อมหมายรวมไปถึงการไม่เคารพกฎหมายที่เผด็จการ “ออกแบบ” มาให้เราด้วย ดังนั้น ม็อบถึงมีหน้าที่ออกไปก่อกวน “ระเบียบ” ทางสังคม หรือใดๆ ที่เป็น “ภาวะปกติ” ของสังคม เพื่อจะบอกโลกทั้งใบให้รู้ว่า การที่เรารู้สึกปกติภายใต้ความไม่ปกติมันคือความไม่ปกติ

การอยู่ภายใต้เผด็จการแบบไม่รู้สี่รู้แปดไม่หนาวไม่ร้อน ไม่คิดว่าเป็นปัญหาคือความผิดปติ คือความวิตถาร คืออาการที่ต้องการการจับตัวขึ้นมาเขย่าแรงๆ

ถามว่าม็อบนี้นอกจากสาดสี ทำลายข้าวของ เขาไปตี ไปฆ่าใครหรือยัง

ถ้ายัง ก็อย่าเพิ่งไปกลัวสลิ่มไม่รักด้วยการหันมาประณามคนที่ออกไปเสี่ยงตายเสี่ยงคุกอยู่บนถนนนั้นเลย ขอร้อง