ในประเทศ / แจวเรือไปซื้อเรือดำน้ำ แจวเรือไปซื้อเรือดำน้ำ #องค์กร นร.เลวลุกขึ้นมาแจว-เอ้า

ในประเทศ

 

แจวเรือไปซื้อเรือดำน้ำ

แจวเรือไปซื้อเรือดำน้ำ

#องค์กร นร.เลวลุกขึ้นมาแจว-เอ้า

 

มีการคาดหมายถึงงบฯ จัดซื้อเรือดำน้ำอีก 2 ลำ วงเงิน 22,500 ล้านบาทของกองทัพเรือ (ทร.) ในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564

เป็น 3 แนวทาง คือ

1) เดินหน้าต่อไป

2) ให้เลื่อนการจัดซื้อ

3) ซื้อเวลาในชั้นอนุกรรมาธิการ และในกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบฯ ปี 2564 ยืดเวลาออกไปก่อน

 

ในฝ่ายให้เดินหน้าต่อไป

แน่นอน ย่อมนำโดยกองทัพเรือ (ทร.)

ที่ยืนยันว่า รัฐบาลได้อนุมัติการจัดซื้อเรือดำน้ำทั้ง 3 ลำไปแล้วตั้งแต่ต้น

โดยยึดตามความจำเป็นเรื่องความมั่นคง

และ ทร.ได้ใช้งบประมาณในกรอบของ ทร.เอง

ทั้งนี้ ใน พ.ร.บ.งบประมาณในปี 2564 จะจ่ายเงินงวดแรก 3,900 ล้านบาทเท่านั้น

จากนั้นค่อยทยอยจ่ายโดยใช้เวลาทั้งสิ้น 7 ปี จนสิ้นสุดปีงบประมาณ 2570

หากให้ชะลอโครงการออกไป ไม่มั่นใจว่าทางจีนจะคิดอย่างไร เพราะมีสัญญาที่ผูกมัดอยู่ ซึ่งเรื่องนี้มีความสำคัญต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

 

ทั้งนี้ น่าสังเกตว่า การแถลงข่าวนายทหารระดับสูงของกองทัพเรือหลายคน ตั้งแต่เจ้ากรมยุทธการทหารเรือ เสนาธิการ ไปจนถึงเลขานุการคณะกรรมการบริหารการจัดซื้อเรือดำน้ำ เพื่อชี้แจงถึงความจำเป็นของโครงการจัดหาเรือดำน้ำนั้น

ได้มีการย้ำหลายครั้งว่า การคัดค้านการจัดซื้อนี้ หวังผลทางการเมืองเพื่อให้สะเทือนรัฐบาล

“การที่มีผู้กล่าวหาว่ามีการดำเนินการเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง ถือว่าเป็นการใส่ร้ายกองทัพเรือ” พล.ร.อ.สิทธิพร มาศเกษม เสนาธิการทหารเรือ ระบุ

สอดคล้องกับ พล.ร.ท.ประชาชาติ ศิริสวัสดิ์ รองเสนาธิการทหารเรือ ในฐานะโฆษกกองทัพเรือ ที่ระบุถึงนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่คัดค้านโครงการนี้ ว่า บิดเบือน สร้างความเสียหาย และก่อให้เกิดความเกลียดชังต่อกองทัพซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สมควร

และปฏิเสธข้อกล่าวหาของนายยุทธพงศ์ว่า การจัดซื้อที่ไม่ใช่วิธีแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล หรือจีทูจี ไม่จริง

“การซื้อแบบจีทูจีโดยพรรคเพื่อไทย อย่างเช่นกรณีจำนำข้าวอันนั้นสิ เก๊ แต่กองทัพเรือได้ทำการซื้อแบบจีทูจีอย่างโปร่งใส” โฆษกกองทัพเรือระบุ

ขณะที่ พล.ร.ท.เถลิงศักดิ์ ศิริสวัสดิ์ เจ้ากรมยุทธการทหารเรือ อธิบายในเชิงยุทธศาสตร์ว่า การจัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2 และ 3 วงเงิน 22,500 ล้านบาท จะช่วยคุ้มครองผลประโยชน์ทางทะเลของชาติ 24 ล้านล้านบาท โดยมีค่าใช้จ่ายคิดเป็น 0.093% เท่านั้น

 

ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ออกมายืนเคียงข้าง ทร.

โดยบอกว่า จากการฟังคำชี้แจงของ ทร.มีเหตุผลและความจำเป็น

ส่วนนายสุพล ฟองงาม ประธานคณะอนุกรรมาธิการครุภัณฑ์ ไอซีที รัฐวิสาหกิจ และทุนหมุนเวียน ใน กมธ.วิสามัญงบประมาณ ปี 2564 สภาผู้แทนราษฎร ที่ชี้ขาดการอนุมัติงบประมาณให้ซื้อเรือดำน้ำ หลังที่ประชุมมีมติเห็นชอบ 4:4 เสียงว่า ตามข้อบังคับของการประชุม เมื่อคะแนนออกมาเท่ากัน ก็จำเป็นจะต้องลงมติชี้ขาด ซึ่งก็ตัดสินใจลงมติเห็นชอบ

“แต่ถ้าเห็นว่าเรื่องนี้จะไปเติมเชื้อไฟที่ทำให้เกิดม็อบเต็มบ้านเต็มเมืองก็อาจจะถอยก็ได้” นายสุพลออกตัว

แต่ที่หนุนสุดตัวก็คือกลุ่มไทยภักดี นำโดย นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม แกนนำกลุ่มไทยภักดี ที่โพสต์ข้อความแสดงความเห็นด้วยกับการซื้อเรือดำน้ำ

และตอบโต้พรรคเพื่อไทยว่าก็ซื้อแบบจีทูจีถูกต้อง

 

ส่วนฝ่ายที่อยากให้เลื่อนการจัดซื้อออกไป

นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รองประธานอนุกรรมาธิการ (กมธ.) ครุภัณฑ์ ไอซีที รัฐวิสาหกิจ และทุนหมุนเวียน ในคณะ กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 ซึ่งออกมาเป็นหัวหอกคัดค้าน

ได้ย้ำว่า การจัดซื้อเรือดำน้ำ ที่มีการระบุว่าเป็นรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี จริงหรือไม่นั้น

จะต้องมีหนังสือมอบอำนาจฉบับเต็ม หรือที่เรียกว่า Full Powers มาแสดง

แต่ ทร.กลับไม่มีการพูดถึงและไม่ได้นำหนังสือดังกล่าวมาแสดง

หากย้อนไปดูคำพิพากษาศาลฎีกา เคยมีคำพิพากษาการจัดซื้อรถ เรือดับเพลิงของ กทม. ที่ไทยจัดซื้อกับประเทศออสเตรีย

ศาลเคยมีคำพิพากษาการจัดซื้อระหว่างจีทูจีต้องเป็นระหว่างรัฐบาลจริงๆ ไม่ใช่กับตัวแทนหรือรัฐวิสาหกิจ แม้ ครม.มอบให้ พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) เป็นตัวแทนรัฐบาลไทย ก็ไม่พบหนังสือมอบอำนาจจากทางไทย

พร้อมกับได้ประกาศว่า หาก กมธ.คนใดยกมือสนับสนุน จะต้องรับผิดชอบ เพราะจะใช้ช่องทางตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 75 นำเรื่องนี้ไปสู่ศาลรัฐธรรมนูญให้ได้

 

อีกฝ่ายที่คัดค้านการจัดซื้อเรือดำน้ำอย่างแข็งขัน

ก็คือ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และที่ปรึกษา กมธ.วิสามัญพิจารณา พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2564

ระบุว่า การอนุมัติซื้อเรือดำน้ำอีก 2 ลำ มูลค่า 22,500 ล้านบาท จะไม่จบแค่นี้

ยังมีงบประมาณที่เกี่ยวข้องอีก 8,400 ล้านบาท สำหรับท่าเรือจอด โรงงานเก็บตอร์ปิโด เรือยกพลขึ้นบก อาคารข้าราชการต่างๆ เป็นต้น

“ภายใต้สถานการณ์ที่ผู้คนกำลังลำบาก งบประมาณนี้ควรนำมาช่วยประชาชน ค่ามัดจำงวดแรก 4,000 ล้านบาท สามารถเอามาเยียวยาประชาชนได้มาก” นายธนาธรระบุ

 

ที่น่าสนใจ คือท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาล

นายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 กล่าวว่า แม้พรรค ปชป.จะเป็นพรรคร่วมรัฐบาล แต่เคยประกาศไว้ชัดเจนแล้วว่าหากเรื่องใดจะไม่เห็นด้วย ต้องใช้มติพรรคพิจารณาในเรื่องสำคัญและเป็นเรื่องหลัก

“ยืนยันว่าจุดยืนที่จะออกมา จะเป็นจุดยืนที่ดีให้กับประชาชนประเทศชาติ” นายชัยชนะบอกเป็นนัยๆ

สอดคล้องกับรายงานข่าวจาก ปชป.แจ้งว่า กมธ.งบฯ ซีกพรรค ปชป. เตรียมลงมติไม่เห็นชอบการจัดซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำ 22,500 ล้านบาท

ส่งผลให้เรื่องร้อนระอุยิ่งขึ้น

 

ส่วนกลุ่มนอกสภา ทั้งนิสิต นักศึกษา และนักเรียน ที่ออกมาเคลื่อนไหวอย่างคึกคักตอนนี้

ต่างมีจุดยืนสอดคล้องกัน นั่นคืออยากให้ชะลอการจัดซื้อออกไป

นายอานนท์ นำภา แกนนำคนสำคัญระบุว่า การจัดซื้อเรือดำน้ำในเวลานี้ เหมือนเป็นการตบหน้าและถ่มน้ำลายใส่หน้าคนไทย

และเรื่องนี้จะถูกนำไปเป็นประเด็นการเรียกร้องในเวทีชุมนุมใหญ่ครั้งต่อไป

ซึ่งนัดหมายไว้แล้วจะมีขึ้นในวันที่ 19 กันยายน

หากเรื่องเรือดำน้ำยังเดินหน้าต่อไป คาดว่าจะทำให้ประเด็นในการชุมนุมร้อนแรงขึ้นแน่นอน

หากยังจำได้ กลุ่มเกียมอุดมของนักเรียนเตรียมอุดมศึกษา เคยหยิบเอาเพลงเชียร์ในโรงเรียนและในมหาวิทยาลัยหลายแห่ง อย่างเพลง “แจวเรือ” มาปรับเป็นกิจกรรมการเมือง “แจวเรือหาประชาธิปไตย” อย่างแสบๆ คันๆ มาแล้ว

ซึ่งหาก ทร.และ กมธ.งบฯ จะเดินหน้าซื้อเรือดำน้ำต่อไป ในท่ามกลางความเดือดร้อนของประชาชน ทั้งทางเศรษฐกิจ และทั้งการเผชิญอุทกภัยอยู่ตอนนี้

กิจกรรมแจวเรือไปซื้อเรือดำน้ำ อาจถูกกลุ่มต่างๆ เช่น องค์การนักเรียนเลว หยิบไปเป็นประเด็น

เข้ากระแทกกลางอกของรัฐบาล ฐานไม่ดูดำดูดีความเดือดร้อนของชาวบ้าน ห่วงใยเฉพาะเรื่องความมั่นคง

อันจะทำให้กระแสต่อต้านรัฐบาลขยายตัวออกไปอีก

ประหนึ่งเทน้ำมันเข้ากองไฟอีกถังใหญ่ๆ นั่นเอง

โดยองค์กรนักเรียนเลวได้นัดหมายที่จะชุมนุมกันอีกครั้ง 5 กันยายนนี้

 

ด้วยภาวะที่วิกฤตการเมืองอาจจะขยายใหญ่จากปมเรือดำน้ำ

จึงมีฝ่ายเลือกทางที่สาม นั่นคือ ซื้อเวลาออกไปก่อน

กล่าวคือ อาจให้อนุ กมธ.และ กมธ.วิสามัญ งบฯ ปี 2564 ดึงหรือแขวนการตัดสินใจเรื่องเรือดำน้ำไว้

เพราะตามปฏิทิน สภาผู้แทนราษฎรจะพิจารณาวาระที่ 2 และ 3 ในช่วงวันที่ 16-18 กันยายน

ยังพอมีเวลาที่จะยื้อเกมออกไปได้

ด้านหนึ่ง คงจะล็อบบี้ให้แต่ละพรรคโดยเฉพาะพรรคร่วมรัฐบาลที่กุมเสียงข้างมากใน กมธ.ให้ “กลับลำมาหนุน”

ด้านหนึ่ง อาจจะดึงให้การชุมนุมใหญ่ขององค์กรนักเรียนเลว วันที่ 5 กันยายน ผ่านไปก่อน ส่วนการชุมนุมของเยาวชนปลดแอกวันที่ 19 กันยายน ก็ไปลุ้นกันเพราะพิจารณาใกล้เคียงกัน

รวมถึงหวังว่าหากเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติเข้าสภา อุณหภูมิการเมืองอาจจะลดลง

ซึ่งจะมีผลทำให้เรื่องเรือดำน้ำลดความร้อนแรงลง

ถึงตอนนั้น ค่อยเดินหน้าอีกครั้ง กระแสต้านอาจจะไม่มากเหมือนตอนนี้

 

ที่สุดแล้ว กมธ.วิสามัญพิจารณางบฯ ปี 2564 ก็ตัดสินใจเลือกที่จะ “ซื้อเวลา”

โดยเลื่อนการพิจารณาออกไป

อ้างว่าเพื่อให้กองทัพเรือมาชี้แจงอีกครั้งในวันที่ 28 สิงหาคม

พร้อมกันนั้นคงล็อบบี้กันหนักในพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อให้เรื่องนี้ผ่านไปให้ได้ โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย (ภท.) และพรรค ปชป.ต้องไม่แตกแถว

ดังนั้น วิปรัฐบาลคงพิจารณาแล้วว่า การซื้อเวลาน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

แม้จะรู้ว่า การคาราคาซังเรื่องนี้ไว้ จะถูกนำไปขยายบนเวทีม็อบนอกสภาแน่

แต่ก็คงไม่มีทางเลือกอื่น

เพราะเกิดงบฯ ซื้อเรือดำน้ำล่ม กองทัพเรือ กระทรวงกลาโหม รัฐบาล คงเสียเครดิตหนัก

ยอมให้องค์กรนักเรียนเลวและเยาวชนปลดแอก ใช้เพลง “แจวเรือไปซื้อเรือดำน้ำ” ขยายแนวร่วมไปเรื่อยๆ

  เพราะไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้!


กว่า 12 ปี ของการจัดงาน Healthcare เครือมติชนร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ได้ส่งต่อความรู้และให้บริการสุขภาพแก่คนไทยในทุกมิติ ทั้งการป้องกัน ดูแล และรักษา โดยเฉพาะการบริการตรวจสุขภาพฟรีจากสถานพยาบาลชั้นนำ เวิร์กชอป ให้คำปรึกษาปัญหาสุขภาพ รวมถึงการยกระดับเวทีเสวนาให้เป็น “Health Forum” เปิดเวทีให้แพทย์ และ Speaker ระดับประเทศ มาร่วมพูดคุยถึงแนวทางการป้องกัน การรักษา และนำเสนอนวัตกรรมทางการแพทย์ รวมถึงเรื่องราวสุขภาพในแบบเอ็กซ์คลูซีฟที่จะมาให้อัปเดตตลอด 4 วันของการจัดงาน เดินทางสะดวกโดยทางด่วนและ MRT ลงสถานีสามย่าน ทางออกที่ 2
ลงทะเบียนเข้างานฟรี มีต้นไม้แจกด้วยนะ (จำนวนจำกัด)